แถมดูๆ ไปแล้วถึงมีก็น่าจะสยองกว่าห้อง “Don’t go in” ซะอีก ฉันเดินอ้อมไปด้านหลังร้านซึ่งมีภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า โดยมีนฐเดินตามมา
“นฐ
พี่ว่าพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ ท่าทางจะต้อง outdoor” ฉันตัดสินใจว่าจะฉี่กลางเขานี่แหล่ะ
“ช่วยยืนดูต้นทางให้หน่อยนะ อย่าให้ใครผ่านเข้ามาได้”
ฉันเดินไปหลบตรงบริเวณมุมตึกและค่อยๆ นั่งลงทำธุระ เมื่อทุกอย่างได้ปลดปล่อยออกมาฉันเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า
“ปลดทุกข์” ก็คราวนี้ แม้ว่าจะเป็นทุกข์เบาก็ตาม แต่ยังไม่ทันปล่อยทุกข์ได้หมดดี มีเด็กชายสองคน
ดันเดินอ้อมมาอีกทางหวังจะมาทำธุระเช่นกัน แต่เมื่อมองมาเห็นฉันในท่าอันแสนอุจาดตา
เด็กก็หัวเราะกันคิกคักแล้วเดินจากไป คงคิดว่าไปปล่อยเอาดาบหน้าดีกว่าให้ยายป้านี่
เห็นของรักของหวง บอกตามตรงว่าตอนนั้นคำว่า“อาย” ได้หายไปจากพจนานุกรมส่วนตัว
ของฉันชั่วคราวเพราะคำว่า “ปวด” มันมีสาระสำคัญมากกว่า เมื่อเสร็จธุระแล้ว ความรู้สึก
เหมือนได้ลอยอยู่บนปุยเมฆ เบาสบายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลับมานั่งกินบะหมี่ภายในร้านสบายใจเฉิบ
ดันเดินอ้อมมาอีกทางหวังจะมาทำธุระเช่นกัน แต่เมื่อมองมาเห็นฉันในท่าอันแสนอุจาดตา
เด็กก็หัวเราะกันคิกคักแล้วเดินจากไป คงคิดว่าไปปล่อยเอาดาบหน้าดีกว่าให้ยายป้านี่
เห็นของรักของหวง บอกตามตรงว่าตอนนั้นคำว่า“อาย” ได้หายไปจากพจนานุกรมส่วนตัว
ของฉันชั่วคราวเพราะคำว่า “ปวด” มันมีสาระสำคัญมากกว่า เมื่อเสร็จธุระแล้ว ความรู้สึก
เหมือนได้ลอยอยู่บนปุยเมฆ เบาสบายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลับมานั่งกินบะหมี่ภายในร้านสบายใจเฉิบ
ยืดเส้นยืดสายซักครู่เพื่อเตรียมนั่งขดตัวในรถต่อไปอีกสองชั่วโมงแล้วเราก็มาถึง
“Chamba Statue” ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธรูปศรีอาริยเมตไตรย์ซึ่งถูกสลักบนภูเขาสูงใหญ่ โดยมีวัดสร้างด้านหน้าทำให้บดบังทัศนียภาพของรูปสลักทั้งองค์ ต้องผ่านเข้าไปในวัดถึงจะได้มีบุญเห็นองค์เต็ม แต่เราโชคร้าย ตอนที่ไปวัดถูกปิดไว้
โดยที่ไม่มีใครมีกุญแจเปิด
น่าเสียดายมากๆ ว่ากันว่ารูปสลักนี้มีมาแต่ครั้งศตวรรษที่ 8 โน่น สมัยก่อนบริเวณตรงนี้เป็นเส้นทางการค้าโบราณ และตามความเชื่อเดิมๆ นั้นจะมีการทำพิธีบูชายัญแพะเพื่อสังเวยให้กับพระศรีอาริยเมตไตรย์ตามความเชื่อแบบเดิมๆ แต่กษัตริย์แห่งลาดัคห์นามว่า “Lde” ซึ่งทำการปกครองในช่วงศตวรรษที่ 14 ได้ทรงประกาศห้ามไม่ให้มีการทำพิธีบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์อีก ซึ่งเป็นเรื่องหนักใจสำหรับชาวบ้านในแถบนั้นมากแต่ก็ต้องทำตาม สัตว์น้อยใหญ่จึงพลอยได้ผลบุญไปด้วย
น่าเสียดายมากๆ ว่ากันว่ารูปสลักนี้มีมาแต่ครั้งศตวรรษที่ 8 โน่น สมัยก่อนบริเวณตรงนี้เป็นเส้นทางการค้าโบราณ และตามความเชื่อเดิมๆ นั้นจะมีการทำพิธีบูชายัญแพะเพื่อสังเวยให้กับพระศรีอาริยเมตไตรย์ตามความเชื่อแบบเดิมๆ แต่กษัตริย์แห่งลาดัคห์นามว่า “Lde” ซึ่งทำการปกครองในช่วงศตวรรษที่ 14 ได้ทรงประกาศห้ามไม่ให้มีการทำพิธีบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์อีก ซึ่งเป็นเรื่องหนักใจสำหรับชาวบ้านในแถบนั้นมากแต่ก็ต้องทำตาม สัตว์น้อยใหญ่จึงพลอยได้ผลบุญไปด้วย
เราออกเดินทางอีกครั้ง
จุดหมายปลายทางของวันนี้คือเมืองตรงบริเวณชายแดนติดกับปากีสถาน “คากิล” (Kargil) ที่ซึ่งเราจะแวะพักค้างคืนถือว่าเป็นครึ่งทางระหว่างเลห์กับ
ศรีนาการ์ คนที่เดินทางโดยรถยนต์ต้องผ่านเส้นทางนี้ทุกคนและต้องแวะพักค้างคืน เพราะทางที่ลัดเลาะไปกับภูเขาอันตรายเกินกว่าที่จะฝ่าฟันไปต่อได้ เส้นทางในช่วงนี้ทิวทัศน์เปลี่ยนไป
เร่ิมมีต้นไม้ต้นใหญ่น้อยและมีสีเขียวสีส้มให้ความรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ที่เค้าว่ากันว่าเส้นทางเลห์-ศรีนาการ์นั้นสวยงามสมควรที่จะผ่านไปซักครั้งในชีวิต ฉันก็เห็นด้วย เพราะนอกจากความสวยงามแล้วยังเต็มไปด้วยเรื่องราวการผจญภัย ความหวาดเสียว การฝึกความอดทนในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย
ศรีนาการ์ คนที่เดินทางโดยรถยนต์ต้องผ่านเส้นทางนี้ทุกคนและต้องแวะพักค้างคืน เพราะทางที่ลัดเลาะไปกับภูเขาอันตรายเกินกว่าที่จะฝ่าฟันไปต่อได้ เส้นทางในช่วงนี้ทิวทัศน์เปลี่ยนไป
เร่ิมมีต้นไม้ต้นใหญ่น้อยและมีสีเขียวสีส้มให้ความรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ที่เค้าว่ากันว่าเส้นทางเลห์-ศรีนาการ์นั้นสวยงามสมควรที่จะผ่านไปซักครั้งในชีวิต ฉันก็เห็นด้วย เพราะนอกจากความสวยงามแล้วยังเต็มไปด้วยเรื่องราวการผจญภัย ความหวาดเสียว การฝึกความอดทนในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย
“เมืองคากิลไม่มีอะไรมากหรอกนะคุณ
เป็นเมืองชายแดน ไม่มีที่ท่องเที่ยวอะไร” ชาบีร์เกริ่นนำ
บรรยากาศที่เริ่มโพล้เพล้ประกอบกับความเงียบเหงาทำให้เรารู้สึกแปลกๆ
พิกล
“เห็นทิวเขาตรงนั้นมั้ยครับ ด้านหลังนั่นเป็นปากีสถาน”
เรามองตามไป รู้สึกเสียวๆ
“ร้านตรงนั้นเคยมีระเบิดมาลงกลางร้านเลย” ชาบีร์ยิ่งสร้างความรู้สึกหวาดหวั่นให้เราเข้าไปอีก
เราพลางมองหน้ากันไปมา หวังให้ผ่านคืนนี้ไปด้วยดี
ขออย่าได้มีเหตุไม่ดีอะไรให้ระทึกใจเลย
รถพาเราไปถึงโรงแรม D’zojila ซึ่งเป็นหนึ่งในสามโรงแรมที่ดีที่สุดที่เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวพักแรมที่เมืองคากิล
ก่อนผ่านทางไปยังศรีนาการ์ สภาพโรงแรมคล้ายๆ ต่างจังหวัดบ้านเรา วันนั้นไม่มีแขกพักมีแต่เราเพียง
3 คนเท่านั้น เมื่อเขาส่งเราลง โลตัสก็ใส่เกียร์เตรียมพร้อมที่จะขับออกไป
“เดี๋ยวๆ
แล้วกระเป๋าเราล่ะ”
“อ้าว
พวกคุณจะเอากระเป๋าลงด้วยเหรอ” ชาบีร์ถามพร้อมกับหน้างงๆ
เราก็งงด้วย
เพราะถ้าไม่มีกระเป๋าเราจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดยังไง เขาคงนึกว่าจะมาปล่อยให้เรานอนแล้วตื่นมาก็พร้อมออกเดินทางเลย หารู้ไม่ซะแล้วว่าคนไทยรักการอาบน้ำแค่ไหน
ว่าแล้วโลตัสก็ปีนขึ้นไปขนกระเป๋าจากด้านบนรถลงมาด้วยความทุลักทุเล
เพราะกระเป๋าแต่ละคนใช่ว่าจะขนาดจุ๋มจิ๋ม
เราขึ้นไปด้านบนห้องพักกะว่าจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นหน่อย
เปิดก๊อก น้ำเย็นเจี๊ยบไม่มีวี่แววของน้ำอุ่น
ฉันเดินลงไปด้านล่างถามไถ่กับหนุ่มพนักงานต้อนรับหน้ามล
“เอ่อ
ไม่ทราบว่าน้ำอุ่นมีตอนไหนบ้าง แล้วไฟปิดตอนกี่โมง”
“ไม่มีหรอกครับ
นี่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ไฟมีตลอดจะดับแค่ตอนห้าทุ่ม แต่ดับแค่แป้บเดียวแล้วก็มาเหมือนเดิม”
เขาตอบซื่อๆ
ห๊า
….. ตายล่ะ แล้วเราจะอาบน้ำยังไงนั่งรถตากแดด ตากลม ตากฝุ่นมาทั้งวัน
“แต่ถ้าจะให้ต้มเป็นถังๆ
ให้ก็ได้ครับคุณจะเอากี่ถัง แต่พรุ่งนี้เช้าจะมีน้ำอุ่นตั้งแต่ตี 4 เป็นต้นไป” โอวว์
เสียงสวรรค์แท้ๆ
ดีเลย
เดี๋ยวขอมา 2 ถังนะ แต่ไว้ค่อยเอามาให้ตอนหลังทานข้าวเย็นแล้วกัน” ฉันค่อยโล่งใจหน่อย ฉันสบายใจเรื่องน้ำอุ่นแล้วก็เลยชักชวนนฐออกไปเดินเล่นชมเมืองกัน
ส่วนพี่ลีขอพักผ่อนทำตัวให้คุ้นกับโรงแรมชายแดน
เราออกเดินมุ่งหน้าไปตรงที่เป็นบริเวณสนามฟุตบอลซึ่งอยู่ใกล้ๆ
โรงแรม ไปเดินดูเด็กๆ เล่นฟุตบอลกัน สนามมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถเล่นได้ทั้งฟุตบอล คริกเก็ต ฯลฯ ประมาณว่าเป็นลานกีฬาต้านยาเสพติด
ณ คากิล
“จู๊เล”
เราส่งเสียงทักทายเด็กๆ ที่อยู่บริเวณขอบสนาม
“โคนิชิวะ” เด็กตอบ เขาคิดว่าเราเป็นชาวญี่ปุ่นล่ะมัง
“เราไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรอกนะ”
“แล้วคุณเป็นคนชาติอะไร” “จีน” “ไต้หวัน” “สิงคโปร์”
เขาเดาไปเรื่อย
“ผิดทุกข้อ”
“เลห์” เขาถามพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว เราเป็นคนเลห์”
เขาหัวเราะกันคิกคัก
“เรามาจากเมืองไทยน่ะ” ฉันเฉลย
“ไทยแลนด์” เด็กพูดแบบเน้นเสียงพร้อมยิ้มแก้มตุ่ย
เราเดินเรื่อยเปื่อยไปถึงแม่น้ำ “ซุรุ” (Suru) ที่ตัดผ่านเมือง
ชื่นชมทัศนียภาพของบ้านเรือนที่อาศัยกันอยู่ตามไหล่เขาโดยมีภูเขาโอบล้อม นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าถ้าเรามาอยู่ที่นี่เราจะทำอะไรและมีชีวิตแบบไหน
เราเดินกลับโรงแรมเมื่อพระอาทิตย์เร่ิมจะโบกมือลาฟากฟ้า
ฉันน่าจะเป็นผู้หญฺิงคนเดียวที่มาเดินเล่นฝ่าสนามบอล แถมยังแต่งตัวประหลาด ปล่อยผมโดยไม่มีผ้าคลุมศรีษะ
ที่นี่เขาเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดมาก
นั่งเล่นซักครู่ฆ่าเวลาโดยการเขียนบันทึกการเดินทางในวันนี้เพื่อรอทานอาหารเย็น
อาหารที่นี่รสชาติแปลกไปกว่าที่เคยทานมาทุกมื้อ เหมือนว่าเขาใช้เครื่องเทศคนละชนิดกัน มีวิธีการปรุงที่ต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารชนิดเดียวกันก็ตาม
หนุ่มพนักงานต้อนรับเดินมาถามเราว่าพอทานได้มั้ย
เราก็บอกไปว่าทานได้
แต่จริงๆ แล้วไม่ค่อยถูกปากนัก เขาบอกว่าเขาเองไม่ชอบอาหารไทยเลย เพราะกล่ินที่แปลกๆ
เราไม่รู้ว่าเขาไปลองทานอาหารไทยที่ไหนและชนิดไหน เพราะน้อยคนมากที่จะไม่ชอบอาหารไทย
แต่ก็ดีตรงที่เขาดูพูดจาตรงๆ จริงใจดี ระหว่างที่ทานอาหารนั้น
นฐเหลือบไปเห็นตึกด้านหลังโรงแรมที่มีไฟประดับประดาสว่างไสวและมีเสียงเพลงเบาๆ คล้ายที่เที่ยว จึงถามเจ้าหนุ่ม
นฐเหลือบไปเห็นตึกด้านหลังโรงแรมที่มีไฟประดับประดาสว่างไสวและมีเสียงเพลงเบาๆ คล้ายที่เที่ยว จึงถามเจ้าหนุ่ม
“ที่นั่นจัดงานอะไรเหรอ”
“อ๋อ
งานแต่งงานของหลานเจ้าของโรงแรมนี้น่ะครับ คุณอยากไปมั้ย”
“เราไปได้เหรอ”
นฐถามต่อ
“ไปได้สิครับ
ถ้าอยากไป เดี๋ยวผมพาไปเอง”
“ไปสิ”
เราดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้ไปร่วมงานแต่งงานแบบท้องถ่ิน
เมื่อทานอาหารเสร็จฉันเดินไปคว้ากล้องคู่ใจเผื่อได้เก็บภาพบรรยากาศในงาน
เขาพาเราเดินอ้อมไปด้านหลังโรงแรมเพื่อไปยังบ้านที่จัดงานซึ่งเป็นงานแต่งงานของ
“มูตาซา” (Murtaza) และ “ซาเยดา”(Sayeda) เราเดินลอดซุ้มต้อนรับด้านหน้าเข้าไป เมื่อไปถึงด้านในบ้านมีญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวยืนกันเต็มไปหมดใส่ชุดสูทเรียบร้อย ส่วนเราแต่งมายังไงตั้งแต่เช้าก็ยังอยู่ในสภาพนั้น เขาพากันหยิบกล้องและวิดีโอขึ้นมาถ่ายภาพเรา แสงแฟลช
วูบวาบ รู้สึกแปลกๆ เหมือนเป็นดารา จริงๆ แล้วเขาอาจจะอยากถ่ายของแปลกมากกว่า
“มูตาซา” (Murtaza) และ “ซาเยดา”(Sayeda) เราเดินลอดซุ้มต้อนรับด้านหน้าเข้าไป เมื่อไปถึงด้านในบ้านมีญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวยืนกันเต็มไปหมดใส่ชุดสูทเรียบร้อย ส่วนเราแต่งมายังไงตั้งแต่เช้าก็ยังอยู่ในสภาพนั้น เขาพากันหยิบกล้องและวิดีโอขึ้นมาถ่ายภาพเรา แสงแฟลช
วูบวาบ รู้สึกแปลกๆ เหมือนเป็นดารา จริงๆ แล้วเขาอาจจะอยากถ่ายของแปลกมากกว่า
ทุกคนดูจะตื่นเต้นมากที่มีแขกต่างชาติมา
ต่างพากันต้อนรับจนพวกเรางงไปหมดเริ่มทำอะไรไม่ถูก เขาแนะนำเราให้รู้จักกับพ่อของเจ้าบ่าวซึ่งให้การต้อนรับเราอย่างดีมากแถมยังให้เราเอาผ้าขาวพันคอท่านผู้อาวุโสสองท่านที่นั่งอยู่ด้านหน้า
เหมือนเป็นธรรมเนียมในการทำความเคารพ เราเก้อๆ กังๆ ทำอะไรไม่ค่อยถูก หลังจากนั้นเขาพาเราไปนั่งที่ห้องรับรองแขกชั้นสอง
ซึ่งมีขนมและชาไว้ต้อนรับ ชาแคชเมียร์มี 2 แบบ คือรสหวานและรสเค็ม รสชาตินุ่มลิ้นและมีกล่ินของสมุนไพรอ่อนๆ
ซักครู่หนึ่งเจ้าบ่าวก็เดินเข้ามาในห้องและทักทายเรา
เราจึงอวยพรให้เขามีความสุขในวันแต่งงาน
“นี่เป็นงานแต่งงานแบบมุสลิมน่ะครับ
งานนี้เป็นงานเลี้ยงของฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนเจ้าสาวแยกกันเลี้ยง” หนุ่มน้อยพยายามอธิบาย
“แล้วพิธีมีอะไรบ้าง
มีกี่วัน” ฉันถาม
“เดี๋ยวจะมีการเต้นรำมั้ย
ตอนไหน” นฐถามต่อ
“เอ่อ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเป็นฮินดู” เขาตอบหน้าใส
เขาพาเราลงไปด้านล่างอีกครั้งและไปดูบริเวณรอบๆ
งาน ด้านล่างนั้นแบ่งเป็นบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับทานอาหาร กางเป็นเต้นท์ขนาดใหญ่ ผู้ชายที่มาร่วมงานจะมานั่งรวมตัวรอทานอาหารอยู่บริเวณนี้
ซึ่งฉันเพ่ิงสังเกตุรอบๆ ตัวว่านอกจากแม่และน้องสาวเจ้าบ่าวแล้วมีเพียงฉันกับพี่ลีที่เป็นผู้หญิง
“เอ่อ ตัวอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก” ฉันคิดในใจ
เราไปยืนงงๆ ในขณะที่ชายเกือบทั้งเต้นท์หันมามองเราเป็นตาเดียวกัน
ฉันยืนน่ิงไป
ทำอะไรไม่ถูก นฐจึงต้องเตือนสติ
ทำอะไรไม่ถูก นฐจึงต้องเตือนสติ
“ถ่ายรูปสิพี่”
ฉันหยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ และเริ่มรู้สึกว่าเราอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางเท่าไหร่
คิดว่าควรจะปลีกตัวไปดีกว่าไม่อยากทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย ฉันเดินกลับออกมา คุณพ่อเจ้าบ่าวหยุดฉันไว้
“คุณไปนั่งสบายๆ
รอที่ด้านบนก่อนนะ เดี๋ยวพอต้อนรับแขกหมดแล้ว ผมจะไปดูแลพวกคุณเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ
ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณมากๆ เลยที่ให้เราได้เข้ามาร่วมงาน”
บางทีเวลาที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย
เราอาจจะได้รับของขวัญที่มีค่าบางอย่างแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ของขวัญกล่องนี้เรียกว่า “มิตรภาพ”
ฉันรู้สึกว่าคนท้องถิ่นแถวนี้ใจดีมาก
ต้อนรับขับสู้แขกแปลกหน้าอย่างเราอย่างดี เรากลับออกมาจากงานเพื่อไปพักผ่อนเตรียมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่ออกเดินทางในเวลา 6 โมงเช้า ตามที่ชาบีรย์กำหนด
หลังจากอาบน้ำอุ่นจากถังที่เขานำมาส่งแล้วก็รู้สึกสบายตัวขึ้น
ไม่นานนักฉันก็บังคับให้
ตัวเองหลับไปในห้องที่แสนอุดอู้ โดยมีเพลงจากงานแต่งงานเล็ดลอดเข้ามาในห้องตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
ตัวเองหลับไปในห้องที่แสนอุดอู้ โดยมีเพลงจากงานแต่งงานเล็ดลอดเข้ามาในห้องตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น