ทัวร์ของวันแรกจบลงแต่เพียงแค่นี้เพื่อให้คนจากที่ราบลุ่มแม่น้ำได้พักผ่อนตามอัธยาศัยแต่เราเห็นว่ายังไม่เย็นมากนักถ้าเป็นเวลาที่กรุงเทพยังไม่เลิกงานเลยด้วยซ้ำจึงขอให้นัมเกลพาไปดูย่านที่ถูกน้ำท่วมเมื่อตอนเดือนสิงหาคม
เขาเล่าว่าเหตุเกิดตอนประมาณเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว
น้ำไหลทะลักลงจากภูเขา ลองคิดดูว่าน้ำไหลจากที่สูงมากๆ มันจะแรงขนาดไหน พัดพาบ้านเรือน ผู้คนและสัตว์เลี้ยงที่อยู่บริเวณตีนเขาไปกับสายน้ำจนต้องจบชีวิตหลายร้อยคนโดยที่แทบจะไม่รู้ตัวเลย ไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวหรือบอกร่ำลาใคร บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นเรื่องของกรรมเวร บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นปีศาจร้ายที่ออกมาเล่นงานคน ถ้าจะเป็นปีศาจก็คงเป็นปีศาจที่ชื่อว่า “ภาวะโลกร้อน” นั่นเอง
น้ำไหลทะลักลงจากภูเขา ลองคิดดูว่าน้ำไหลจากที่สูงมากๆ มันจะแรงขนาดไหน พัดพาบ้านเรือน ผู้คนและสัตว์เลี้ยงที่อยู่บริเวณตีนเขาไปกับสายน้ำจนต้องจบชีวิตหลายร้อยคนโดยที่แทบจะไม่รู้ตัวเลย ไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวหรือบอกร่ำลาใคร บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นเรื่องของกรรมเวร บ้างก็เชื่อกันว่าเป็นปีศาจร้ายที่ออกมาเล่นงานคน ถ้าจะเป็นปีศาจก็คงเป็นปีศาจที่ชื่อว่า “ภาวะโลกร้อน” นั่นเอง
ในแต่ละปีลาดัคห์แทบจะไม่มีฝนตกเลย เขาต้องอาศัยน้ำจากน้ำแข็งบนภูเขาที่ละลายลงมาเพื่อใช้ประโยชน์
แต่วันนี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ธรรมชาติก็ถูกเปลี่ยนไปตามโลกโลกาภิวัฒน์ บางคนบอกว่าธรรมชาติเร่ิมลงโทษมนุษย์แต่คิดให้ดีแล้ว
เราเอาเปรียบธรรมชาติมากเกินไปรึเปล่า เราเองที่ไปเบียดเบียนเขาและยังโทษว่าเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นเกิดขึ้นเพราะเขา
จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นเพราะเราทุกคนนี่แหล่ะ พึงระลึกไว้เสมอว่าธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้
“วันนั้นผมอยู่แถวนี้ก่อนเกิดเหตุแป้บเดียวเอง
พอนั่งรถผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น น้ำก็ไหลท่วมเต็มไปหมด”
“โอ้โห
ตื่นเต้นจัง คุณนี่โชคดีจังนะ” ฉันตกใจเล็กน้อย
“อืมม์
น้องชายผมอยู่ตอนน้ำไหลลงมาบนถนนพอดีเลย”
“อ้าวเหรอ
แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” ฉันนึกว่าเขาคงต้องบาดเจ็บสาหัส
“ไม่มากครับ
เขานั่งอยู่ในรถและน้ำไหลพัดรถไปมา กระแทกข้างทางและพลิกกลับไปมา แต่เขาก็รอดมาได้”
“โห
โชคดีจริงๆ เลย”
บางคนอาจโชคดีแต่ไม่ใช่ทุกคน
“คนพวกนี้น่าสงสารนะ
ไม่รู้ว่ามีแหล่งรับบริจาคเงินช่วยเหลือคนประสบเหตุมั้ย เราอยากจะช่วยเท่าที่ช่วยได้น่ะ”
พี่ลีถาม
“อ๋อ
มีครับ มีศูนย์รับช่วยเหลือเดี๋ยววันหลังผมจะพาไปครับ”
ตอนที่จองทริปครั้งนี้ฉันลังเลอยู่หลายเรื่อง
เรื่องแรกก็คือเรื่องน้ำท่วม กลัวตามประสาคนเมืองว่าจะมีโรคระบาดร้ายแรง กลัวตามประสาคนช่างเที่ยวว่าสถานที่ท่องเที่ยวจะถูกน้ำท่วมจนหมดสวย
กลัวในฐานะมนุษย์ว่าคนที่นี่จะมีความเป็นอยู่อย่างไร น่าสงสารแค่ไหน แต่หลังจากค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ
บ้างก็บอกว่าไม่ควรไปเพราะในขณะที่คนกำลังมีความทุกข์ ความสูญเสีย เรายังจะมีหน้าหยิบกล้องราคาแพงขึ้นมาถ่ายรูปแช๊ะๆ อีกเหรอ แต่อีกมุมมองนึงกลับบอกว่า
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะไป เมืองแบบนี้อยู่ได้ด้วยการท่องเที่ยว เขามีช่วงเวลาท่องเที่ยวเพียงไม่ถึง
6 เดือน ถ้านักท่องเที่ยวไม่ไปในช่วงสุดท้ายที่จะไปได้แล้วเขาจะย่ิงอยู่กันลำบากขนาดไหน ฉันเลือกที่จะเชื่อแบบหลัง
จึงมีโอกาสมาเห็นสภาพด้วยตาตัวเองวันนี้ ฉันคงเสียใจถ้าเลือกที่จะไม่มา บางทีเรื่องเดียวกันเราก็สามารถมองในมุมที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นรถไปส่งเราที่ตลาด ซึ่งเราไม่ให้เขารอรับแต่จะเดินกลับเอง
เพราะไม่รู้ว่าจะเพลิดเพลินเถลไถลนานแค่ไหน เกรงใจตามภาษาคนไทย แล้วอีกอย่างโรงแรมก็ไม่ได้ไกลมาก
ฝึกเดินให้ชินกับความกดอากาศน่าจะดี
เราเดินเล่นตรงถนนสายหลักที่ตัดผ่านตลาด มีร้านค้ามากมายสองข้างทางแต่ดูเงียบเหงาเพราะมีนักท่องเที่ยวเพียงหยิบมือ ร้านค้าขายของประจำวันสำหรับคนท้องถ่ินทั่วไปยังเปิดอยู่ แต่ร้านขายของที่ระลึกหรือของฝากนั้นเริ่มปิดตัวลงบ้างแล้ว
เราเลือกเข้าไปดูของในร้านๆ หนึ่ง ซึ่งเจ้าของเป็นชาวกัว (Goa) อยู่ตอนใต้ของอินเดียเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเล
สภาพภูมิประเทศแตกต่างจากลาดัคห์โดยสิ้นเชิงแต่มาทำการค้าขายอยู่ที่เลห์ พ่อค้าที่นี่ครึ่งหนึ่งเป็นคนต่างเมือง
อีกครึ่งเป็นชาวท้องถ่ิน ลีลาการขายจะต่างกัน สามารถสังเกตุได้ว่าพ่อค้าต่างถิ่นจะตื้อลูกค้าและพยายามปิดการขายให้เร็วที่สุด
แต่พ่อค้าท้องถิ่นจะไม่ออกไปนั่งเรียกลูกค้าหน้าร้านถ้าใครสนใจซื้อของเขาค่อยให้บริการ สำหรับพ่อหนุ่มชาวกัวนี้อีก
2 อาทิตย์เขาก็จะปิดร้านแล้วเพราะหมดฤดูกาลขายของ ทุกอย่างจะดูเงียบงัน ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีร้านค้าที่เปิดทำกิจการ
มีแต่เพียงชาวท้องถ่ินที่เคยชินกับความหนาวและความเหงา หน้าหนาวที่นี่หนาวจัด อุณหภูมิติดลบถึง 25 องศาเซลเซียสเชียว
ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่ามันจะหนาวได้ขนาดไหน ผู้คนจะทำอะไรกัน จะออกจากบ้านมาเดินเล่นกันมั้ย แค่ตอนนี้ฉันก็อยากจะนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ
จะแย่แล้ว
ชีวิตที่ทำงานเพียงไม่กี่เดือนและหยุดอยู่เฉยๆ อีกหลายเดือนจะเป็นยังไงนะ
ฉันยังไม่เคยใช้ชีวิตแบบนั้นเลย พวกเราคนเมืองนั้นมุ่งมั่นกับการทำงานหาเงิน หาความสำเร็จ หาของมาปรนเปรอความสะดวกสบายของตัวเองและพร้อมที่จะเรียกมันว่า
“ความสุข” แต่ชาวภูเขาเขาใช้ชีวิตโดยขึ้นกับธรรมชาติหาใช่เงินตรา เขาหยุดเมื่อธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย
เขาไม่พยายามที่จะไปฝืนธรรมชาติเพื่อให้ตัวเองได้สะดวกขึ้น บางทีคิดสงสารเขาที่อยู่กันอย่างลำบาก
แต่บางทีก็คิดสงสารตัวเองที่อยู่แบบดิ้นรน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น