25 กรกฎาคม 2555

24. กุลมาร์ค ...​ นางงามตกรอบ

     วันนี้ดินบอกเราให้เตรียมตัวตื่นแต่เช้าไว้ก่อนเพราะต้องออกนอกเมืองอีกแล้ว ไม่รู้จะมีเคอร์ฟิวอีกรึเปล่า นฐกับพี่ลีคงยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงไม่มีเสียงเล็ดลอดบ่งบอกว่า
ได้ลุกขึ้นมาแล้ว จะมีก็แต่ฉันและพนักงานประจำเรือซึ่งง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า
ให้กับเรา ฉันไปเดินเล่นฆ่าเวลาก่อนทานอาหารเช้าตรงสวนข้างๆ เรือซึ่งปลูกต้นไม้ไว้พอสมควร ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน อากาศค่อนข้างเย็นจัดในช่วงเช้าและก็จะอุ่นขึ้นเรื่อยๆ 
เมื่อพระอาทิตย์เร่ิมทำงาน ต้องเตรียมเสื้อผ้ามาเผื่อให้เหมาะสมกับอากาศ ประมาณว่า
มีหลายๆ ชิ้น ถอดและใส่ได้ง่ายน่าจะดีกว่า 




     ด้านหลังของสวนเป็นบ้านคนงานและครัวที่ทำอาหารแสนอร่อยให้เราได้ทานกัน เดินสูดอากาศซักพักฉันก็กลับมาตามเวลานัดทานอาหารเช้าคือ 7 โมง วันนี้ฉันสั่งอาหารเช้าเป็นไข่คน (Scramble egg) เพื่อสร้างความแตกต่าง เขาเสริฟพร้อมขนมปังป้ิง เนย แยม น้ำผึ้ง และชากาแฟ ส่วนเพื่อนๆ ยังคงทานข้าวต้มกับไข่เจียว สงสัยจะเริ่มคิดถึงบ้าน
     ดินบอกว่าเราไม่ต้องรีบออกเดินทางแล้วเพราะไม่มีเคอร์ฟิว แหมเลยตื่นเช้าเก้อเลย แต่ถ้ามองในด้านดีก็ทำให้เราได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นๆ ในตอนเช้ากะเค้าบ้าง
     เรานั่งเล่นอยู่ตรงชานบ้านเพื่อรอเวลาลงเรือ ชาบีร์ตื่นเช้าเป็นพิเศษท่าทางงุ่นง่านนั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของบริษัททัวร์มากมาย ผมเผ้าที่กระเซิงไม่ได้มีการจัดระเบียบก่อนที่จะออกมาพบผู้คน เมื่อคืนอยู่ในชุดไหนเช้านี้ก็ยังหมกอยู่ในชุดเดิม จะว่าไปเขาก็มีคาแรกเตอร์ตลกๆ ดี เหมือนตัวการ์ตูน ไม่ค่อยซีเรียสอะไรกับชีวิตมาก ต่างจากหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา เช่นมุสตาฟาที่ดูเคร่งขรึมจริงจัง เขาคงหลบมาศรีนาการ์เพื่อพักผ่อนเป็นหลัก เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องรอง ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเราเจอเขาบ้างช่วงค่ำๆ แม้ว่าจะอยู่บนบ้านเรือเดียวกันก็ตาม ทำตัวประหนึ่งนินจาผลุบๆ โผล่ๆ กลับเข้าบ้านเมื่อดึกแล้้วนอนตื่นสาย ไม่รู้วันๆ เขาหายไปไหนมาบ้าง เและเมื่อวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึงเขาก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกปั่นงาน
ให้เสร็จก่อนที่จะกลับไปเลย์
     “ชาบีร์ คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” นฐถามเขา
     “38 ปีน่ะ”
     “แล้วมีภรรยารึยัง”
     “มีแล้วครับ มีลูกอีกหนึ่ง”
     “มีภรรยากี่คนล่ะ” ฉันแกล้งถามเขา
     “โอ้ย คนเดียวก็จะแย่แล้ว ลูกหนึ่งก็พอแล้ว ปิดอู่” เขาพูดขำๆ
     ชาบีร์พูดภาษาอังกฤษได้แบบกระท่อนกระแท่น ทำให้บางทีเราก็ฟังเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็คงฟังเราไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่เขาดูเป็นคนง่ายๆ จริงใจดี เขาบอกว่าจะแวะมาเที่ยวที่เมืองไทย
ตอนปลายปี นฐจึงชักชวนเขาให้นัดเจอกับเราเผื่อว่าจะได้รำลึกถึงความหลังครั้งที่นั่งรถฝ่า
การจราจรบนเขาด้วยกัน ไม่รู้ว่าแบบไหนจะทรมานกว่ากันระหว่างนั่งรถนานเพราะรถติดหรือเพราะถนนขรุขระ

ชาบีร์นั่งง่วน
พ่อครัวหนุ่ม
คนพายเรือ
     มีคนขายของพายเรือวนเวียนอยากเข้ามาขายของให้กับเราแต่ถูกดินสกัดไว้ไม่ให้ขึ้นมาด้านบน เขาคงรู้แล้วว่าเราไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่กับการที่มีคนมาตื้อขายของหรือถูกบังคับขาย ถ้าเราพอใจเราจะเลือกซื้อเอง เด็กชายอ้วนตากลมคนหนึ่งเล็ดลอดขึ้นมาได้ เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉันเป็นคนแรก คงดูแล้วว่าคุณน้าคนนี้น่าจะใจอ่อนกับเด็ก สินค้าของเขาคือ
แซฟฟรอนใส่กล่องมีฉลากมาอย่างดี
     “ไม่ล่ะจ๊ะ เผอิญฉันซื้อไปแล้ว” ฉันปฏิเสธแบบนุ่มนวล
     เขาก็เริ่มเพ้อมุกเดิมๆ เหมือนที่เราเจอจากคนขายของที่พายเรือมาขนาบข้างเรือชิคาร่า
เพื่อพรีเซ้นท์สินค้าระยะประชิดตัว ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าปลูกขึ้นมาแล้วมันจะเป็นต้นอะไรหรือจะงอกรึเปล่าด้วยซ้ำ ผ้าคลุมไหล่ เครื่องใช้ที่ทำจากหนัง ฯลฯ
     “I am from the village” เขาคิดว่ามุกนี้คงเด็ดมากเราคงต้องสงสารและยอมซื้อของเขาแต่ฉันตอบเขาไปว่า
     “I am from the village too, a village called Bangkok”
     เขาอึ้งไป ทำหน้างง ทำอะไรต่อไม่ถูกแล้วจึงเดินจากไป
     คนขายเครื่องประดับจะพยายามมาขายของฉันบ้างแต่ถูกดีนห้ามไม่ให้ขึ้นด้านบน
     หนุ่มอีกคนมาแบบเนียนๆ เดินทักทายคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที แล้ววกมาหาฉัน แนะนำตัวเองว่าเขาเป็นคนขายกระเป๋าหนังแกะปักลายสวยงาม มีขนาดใหญ่เล็กมากมายพร้อมโชว์ของตัวอย่างให้ดูแถมมีมุกเด็ดมัดใจลูกค้า
     “ผมไม่อยากรบกวนเวลาคุณตอนนี้เพราะรู้ว่าคุณจะออกไปข้างนอก แต่ผมมีของมากมาย อยากจะให้ดู ผมจะแวะมาหาใหม่ตอนบ่ายนะครับ”
     มนต์สะกดของเขาได้ผล ฉันเออออไปกับเขา คิดว่าอาจจะซื้ออะไรบางอย่างไปเป็นของฝาก (เปล่านะไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นชายหนุ่มเลยยอมใจอ่อน)

คนขายของเจ้าคารม
     เราออกเดินทางไปกุลมาร์ค (Gulmarg) ตอนเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง โดยใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงทั้งๆ ที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 50 กิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้น แต่เป็นเพราะรถในเมืองขาออกไปนั้นติดอย่างมหากาพย์กว่าเราจะไปถึงก็ 11  โมงครึ่งแล้ว ที่นี่คล้ายวนอุทยานบ้านเราถูกดูแลรักษาอย่างเข้มงวดตรงทางขึ้นไปยังเนินเขาด้านบนนั้นเราต้องถูกตรวจพาสปอร์ตอีกครั้ง
     กุลมาร์คเป็นที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมมาเล่นสกีกัน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวคึกคักในช่วงธันวาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์ ส่วนหน้าร้อนก็จะเป็นช่วงพฤษภาคมถึงกันยายนที่มีดอกไม้ออกดอก
หลากชนิดสมกับชื่อเมืองที่แปลว่า “ทุ่งดอกไม้” แล้วเรามาทำอะไรกันตอนนี้เนี่ย ดีนพาขึ้นไปตรงบริเวณที่เป็นแหล่งชุมชนมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก แต่ทุกอย่างปิดตัวลง เพราะอยู่นอกฤดูกาลแถมเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนมีเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงก่อนหน้านี้อีก เลยไม่มีแม้แต่เงาของนักท่องเที่ยว ดูช่างเงียบเหงา หญ้าบนภูเขาแห้งกรอบไม่หลงเหลือความสวยงามใดๆ แล้วแถมรถเคเบิ้ลที่ปกติจะนำนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนสถานีสกีที่จะเป็นจุด
เร่ิมต้นของการเล่นนั้นก็ปิดทำการ มีคนท้องถิ่นพยายามนำม้ามานำเสนอให้เราขี่แต่ฉันยัง
เจ็บก้นไม่หายตั้งแต่เมื่อวานเลยขอผ่าน แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเดินเล่นออกกำลังกายซะหน่อย
ก็แล้วกัน เราเดินขึ้นไปบนเนินซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์นิกายโปรแตสแต้นท์ซึ่งมีเด็กหนุ่มเฝ้าอยู่สองคน แล้วเดินอ้อมไปอีกทางเพื่อไปดูวัดฮินดูซึ่งอยู่อีกเนินเขานึง ดีนบอกว่ามีมัสยิดอีกที่แต่อยู่บนเนินเขาอีกลูกหนึ่งเผื่อจะได้ครบทุกศาสนา แต่เราร้อนและเมื่อยเกินกว่าจะมีอารมณ์เดินต่อไป และถึงจะไป ถ้าไม่สามารถเข้าไปด้านในได้จะมีประโยชน์อะไร จึงตัดสินใจกลับลงไปด้านล่างเพื่อทานอาหารกลางวัน ระหว่างทางมีจุดชมวิวอีกหนึ่งจุดที่มองไปเห็นทิวเขาเรียงต่อๆ กัน ต้นไม้เขียวชอุ่มปกคลุมเต็มพื้นที่ แถวนี้คงมีออกซิเจนเยอะมาก





     เราออกจะรู้สึกผิดหวังกับกุลมาร์ค อาจเป็นเพราะเราผ่านความสวยมากๆ มาเยอะแล้ว พอเจออะไรที่ธรรมดาก็เลยอดเปรียบเทียบไม่ได้ ถ้าฉันทำบริษัททัวร์ที่นี่คงอยากปรับโปรแกรม
ในช่วงนอกฤดูกาลนิดหน่อย นักท่องเที่ยวจะได้มีเรื่องตื่นเต้นให้ทำ เพราะเมื่อเราเจอ โซนามาร์ค พาฮัลแกม มาแล้ว กุลมาร์คก็เลยดูด้อยไป ถ้าจะให้ดีน่าจะพาไปดูพวกหมู่บ้านเล็กๆ ที่ทำงานฝีมือหัตถกรรม ทอผ้าคลุมไหล่ ทำเครื่องเทศ อบผลไม้แห้ง หรือกิจกรรมแบบชาวบ้านชาวถิ่นเค้าทำกันจะน่าสนใจกว่า
     สำหรับเมืองที่รายได้ขึ้นกับการท่องเที่ยวนั้นผู้คนต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทางที่จะสร้างรายได้ให้มากที่สุดเมื่อฤดูกาลมาถึง และเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่จะมีผลกระทบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวนั่นก็แปลว่าจะมีผลกระทบกับรายได้ที่จะเข้ากระเป๋าเขาด้วย เพราะ นักท่องเที่ยว = รายได้ สมการง่ายๆ แต่กลับซับซ้อนเพราะภายใต้คำว่า “นักท่องเที่ยว” นั้นยังมีสิ่งอื่นที่มีผลกระทบต่อการมาหรือไม่มาของเขาเหล่านั้น  ฉันพยายามที่จะคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามที่จะไม่รำคาญเมื่อมีคนมาตื้อให้ซื้อของมากๆ พยายามที่จะช่วยเท่าที่ทำได้ พยายามที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะไม่รู้สึกผิดหวังกับการมาเที่ยวที่นี่ มองในส่ิงที่เขาเป็น 
เห็นในส่ิงที่เกิดขึ้นและเห็นใจกับชีวิตที่เลือกเองไม่ได้
     เราอยู่กับความไม่แน่นอนด้วยกันทั้งนั้น … ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น