ที่ถัดมาคือ Stok Palace เป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์ลาดัคห์
ตอนนี้เปิดให้เข้าชมเพียงไม่กี่ห้อง บางห้องก็ห้ามถ่ายรูปจึงไม่มีบรรยากาศมาให้ชมมากนัก นอกจากห้องที่เป็นที่ประทับของพระพุทธรูปแล้วยังมีห้องที่แปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์
ซึ่งเก็บสะสมของมีค่าทั้งด้านมูลค่าและวัฒนธรรมไว้หลายอย่าง พวกอาวุธ อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีกรรม
เครื่องแต่งตัว เหรียญโบราณ เครื่องประดับต่างๆ นัมเกลชี้รูปกษัตริย์แห่งลาดัคห์องค์ปัจจุบันให้ดู
ซึ่งบัดนี้ท่านไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในด้านการปกครองแต่ยังคงตำแหน่งกษัตริย์เป็นที่รู้จักและนับถือในหมู่คน
ท้องถิ่น บางครั้งท่านก็ยังมาพักที่พระราชวังแห่งนี้
ท้องถิ่น บางครั้งท่านก็ยังมาพักที่พระราชวังแห่งนี้
บริเวณด้านนอกตัวอาคารนั้นเป็นจุดชมวิวที่สวยมากอีกจุดหนึ่ง
คลื่นของทิวเขาที่เรียงสลับซับซ้อนและทอดตัวยาวขนานไปกับท้องฟ้า อากาศบริสุทธิ์และเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกได้ถึงชีวิตที่เงียบสงบคล้ายๆ
จะหยุดนิ่ง สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้านั้นยิ่งใหญ่และสวยงามเกินกว่าความสามารถใดๆ ของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราจะสร้างขึ้นมาได้
ฉันรู้สึกโชคร้ายที่ไม่ได้เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติแต่ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้างที่ได้มาสัมผัสแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ก็ตาม
ด้วยความที่นั่งรถนานฉันถามคำถามมากมายกับนัมเกลว่าด้วยเรื่องความสงสัยเกี่ยวกับศาสนาและพระพุทธเจ้าเพราะมีหลายองค์มาก ไม่เหมือนพุทธหินยานที่มีพระศรีศากยมุนีแต่เพียงองค์เดียว
ไหนจะกูรูต่างๆ อีกมากมายที่พอคุ้นเคยบ้างคงเป็น กูรูริมโปเชหรือพระปัทมสัมภาวะ แล้วไหนยังมีนิกายต่างๆ แตกแยกออกมาหลักๆ
ก็มี 4 นิกายคือ หนิงมาปะ (Nyingmapa) ศากยะปะ (Sakyapa) กายุคปะ (Kargyudpa) และเกลุคปะ
(Gelukpa) นิกายหนิงมาปะเป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดมีท่านคุรุปัทมสัมภาวะเป็นผู้ก่อตั้งพุทธแบบตันตระ
นัมเกลอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละองค์ได้อย่างชัดเจน
และยังแอบให้แง่คิดดีๆ อีก เขาเชื่อว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงนั้นคือศาสนาพุทธแบบหินยานเพราะเป็นการถือปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าโดยตรงไม่ได้ถูกแปลต่อหรือปรับให้เข้ากับความเชื่อในสังคมนั้นๆ การที่คนเราจะนับถือศาสนาพุทธนั้นควรยึดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แบ่งแยกว่าใครนับถือนิกายไหน การยึดติดนั้นรังแต่จะทำให้คนแตกแยกกันมากขึ้น เขาเล่าว่าบางทีถ้าถามคนที่นี่ว่านับถือศาสนาอะไรพวกเขามักจะตอบว่านับถือนิกายไหนมากกว่าที่จะตอบว่านับถือพุทธ ฉันก็เห็นด้วยในแง่คิดนี้
เพราะการแปลความต่อๆ กันไป มีแต่จะทำให้ข้อความนั้นบิดเบือนมากขึ้น สำหรับนัมเกล เขานับถือพุทธมหายานนิกายเกลุคปะ
(หมวกเหลือง) หรือนิกายเดียวกับท่านดาไลลามะนั่นเอง
เมื่อเริ่มพูดคุยทำความสนิทสนมกันมากขึ้น
ฉันตั้งข้อสังเกตุว่าเขาเป็นคนพูดน้อยและสุขุม ถามอะไรไปก็ตอบตามนั้น มักไม่ค่อยจะถามกลับ
แต่ก็ยินดีตอบทุกคำถามที่ฉันยิงเป็นพรวน เขาดูจริงใจดี ไม่เหมือนไกด์ทั่วๆ ไป ทำให้ฉันรู้สึกถูกชะตา
“คุณเรียนจบมาก็เป็นไกด์เลยเหรอ”
“อ๋อ
เปล่าหรอกครับ ผมไปเป็นทหารก่อน”
นั่นไง
ว่าแล้วเชียวทำไมถึงขรึมได้ขนาดนี้ มันมีเหตุ
“งั้นเหรอ
แล้วคุณเพ่ิงมาเป็นไกด์เหรอ” เห็นว่าหน้าตายังดูเด็กๆ อยู่และไม่ค่อยพูด อาจจะไม่ถนัดในการเจ๊าะแจ๊ะกับนักท่องเที่ยว
“ผมเป็นไกด์มา
8 ปีแล้ว”
“ฮ้า
จริงเหรอ แล้วเป็นทหารกี่ปี” ฉันรุกต่อ
“ประมาณ
3 ปีครับ”
“อืมม์
ถ้างั้นคุณอายุเท่าไหร่”
ดูยังไงก็ไม่น่าถึง 30 แต่นับไปนับมาทำงานมา 11 ปี
จะเป็นไปได้ยังไง
“27
ปี ครับ”
“จริงเหรอเนี่ย
นั่นแปลว่าคุณเป็นทหารตั้งแต่อายุประมาณ 15-16 ปี” ฉันตกใจจริงจังมากกว่าเดิม
“ใช่ครับ
เรียนจบมาก็เป็นทหารเลย”
เดาว่าคงเรียนแค่ประมาณ
ม.3
“แล้วทำไมเลิกเป็นทหารซะล่ะ”
ฉันเริ่มสนใจในชีวิตของเขา
“ก็พอดีตอนนั้นมีเรื่องราวความไม่สงบบริเวณชายแดน
ผมถูกส่งตัวไปประจำการที่นั่น แล้วแม่ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ท่านเป็นห่วง ไม่อยากให้ผมใช้ชีวิตแบบเสี่ยงกับอันตราย ผมก็เลยลาออกจากทหาร”
“อ๋อ
อย่างนี้นี่เอง ก็น่าห่วงอยู่นะ เออ… แล้วคุณเคยฆ่าคนตายมั้ย”
“ไม่เคยหรอกครับ
ผมแค่ไปประจำการ บางทีก็มียิงปืนบ้างเแต่เป็นการยิงขู่มากกว่า”
“แล้ววันนี้คุณพกปืนมารึเปล่า เราจะได้สบายใจว่ามีคนปกป้อง”
“ฮ่าๆๆๆ”
เขาขำในความบ้าบอของฉัน
“ฉันว่านะ
เรื่องของสงครามเนี่ยมันเป็นแค่เกมส์ของคนที่มีอำนาจเท่านั้นแหล่ะ เชื่อว่าถ้าไปถามทหารคนไหนก็คงไม่มีใครบอกว่าอยากจะฆ่าคนหรอก เขาทำไปก็เพราะหน้าที่นั่น
แหล่ะ”
แหล่ะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน
ตอนไปประจำการผมเคยเจอทหารอาฟกัน (อาฟกานิสถาน) ด้วย ตัวใหญ่มาก ผมกลายเป็นคนแคระไปเลยเวลาไปยืนข้างๆ”
“โห
น่ากลัวจัง พวกนั้นคงผ่านการฝึกมาอย่างดีเนอะ … อืมม์ … แล้วคุณชอบเป็นไกด์มั้ย”
“ผมชอบนะ
เพราะได้เดินทางไปหลายๆ ที่ แล้วมันก็เป็นอาชีพที่ดีสำหรับผม”
ดูเหมือนว่าเขาคงได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเดินทาง
นัมเกลเป็นไกด์ประเภทที่เรียกว่าค่อนข้างพูดน้อยแต่ข้อดีก็คือ
“ไม่คล่อก” เหมือนคนอื่นๆ ที่ฉันเคยเจอมา ไม่ได้เอาใจลูกค้าจนเว่อร์ ไม่ชวนคุยเรื่องส่วนตัวใดๆ ไม่คุยโม้โอ้อวดมากเกินไป แต่เขาก็คอยดูแลเราเป็นอย่างดี
ที่สำคัญคอยเตรียมน้ำดื่มไว้เติมออกซิเจนให้เราอยู่เสมอทุกวัน
เมื่อทุกคนได้รู้ประวัติของนัมเกลเราตกลงตั้งชื่อไทยให้เขาว่า
“คุณประจักษ์”* เวลาที่จะพูดถึงเขาต่อหน้าแต่ไม่อยากให้เขารู้
ชีวิตคนเรานั้นไม่มีใครเหมือนใคร ถ้าเราอยู่ในโลกของเราอย่างเดียวมากเกินไปโดยไม่ได้รับรู้หรือสัมผัสวิถีชีวิตของคนอื่นบ้างมันอาจทำให้เรากลายเป็นคนมองโลกแคบเกินไปเพราะสร้างค่านิยมให้กับตัวเองในแบบที่ผ่านมุมมองเพียงด้านเดียว
ฉันมานั่งนึกดูว่าในสังคมของเรานั้นให้ความสำคัญและคุณค่ากับเรื่องการศึกษามากๆ เราต่างแข่งกันที่จะเรียนให้ได้เกรดดีๆ
มีใบปริญญาที่สูงที่สุด ถ้าใครไม่จบปริญญาก็อย่าหวังว่าจะได้งานดีๆ เลย แต่บางทีเราอาจมองเลยคุณค่าของความเป็นคนไปรึเปล่า คนที่เค้ามีชีวิตอยู่ในที่อื่นๆ นั้นเขาไม่ได้มีปริญญาจากต่างประเทศอะไรและก็ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนโง่ ฉันเชื่อว่าบางคนนั้นมีปริญญาแห่งชีวิตไม่รู้จักกี่ใบ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในแบบที่เขาเลือกเอง
ไม่มีใครมา
วิพากย์วิจารณ์ ไม่จำเป็นต้องอยากมีอยากเป็นให้มากกว่าความจำเป็นของชีวิต … บางทีเราตกอยู่ในกับดับของกิเลสมากเกินไปรึเปล่า
วิพากย์วิจารณ์ ไม่จำเป็นต้องอยากมีอยากเป็นให้มากกว่าความจำเป็นของชีวิต … บางทีเราตกอยู่ในกับดับของกิเลสมากเกินไปรึเปล่า
*ขณะที่เราเดินทางไปลาดัคห์เป็นช่วงเวลาสำคัญมากของละครวนิดาที่ทุกคนติดกันทั่วบ้าน
ทั่วเมือง ซึ่งเราจะพลาดดูถึง 4 ตอน เราจึงต้องหาอะไรมาทำให้เพลินเพลินแทนพี่ติ๊กขณะอยู่ลาดัคห์ให้ได้
ทั่วเมือง ซึ่งเราจะพลาดดูถึง 4 ตอน เราจึงต้องหาอะไรมาทำให้เพลินเพลินแทนพี่ติ๊กขณะอยู่ลาดัคห์ให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น