02 กรกฎาคม 2555

2. เดลลีโฉมใหม่

     การเดินทางไปเดลลีนั้นมีสายการบินให้เลือกหลายสาย ราคาแตกต่างกันค่อนข้างมาก
แต่จะเลือกสายการบินไหนนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ตั้งไว้แล้วยังขึ้นอยู่กับ
เส้นทางการเดินทางอีกด้วยเพราะถ้าคุณต้องเดินทางทางอากาศภายในประเทศก็น่าจะเลือกสายการบินที่เขาครอบคลุมทั้งต่างประเทศด้วยน่าจะช่วยประหยัดกว่าซื้อแยกสายกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางด้วยสายการบิน Kingfisher สายการบินเอกชนของประเทศอินเดีย ใช้ชื่อยี่ห้อเดียวกับเบียร์ Kingfisher มี มิสเตอร์วิเจมัลยา (Dr.Vijay Mallya) เป็นเจ้าของ ซึ่งเขาออกมาต้อนรับเราด้วยตัวเองสัญญิงสัญญาว่าจะให้บริการที่ดีที่สุดระดับ world class นั่นเชียว เราแอบจำอีเมล์เขาไว้จากในวีดีโอ เผื่อว่ามีปัญหาอะไรจะได้เขียนไปหาดูซิว่าจะให้บริการถึงใจจริงมั้ย เครื่องบินเป็นขนาดลำเล็กมีแถวละ 6 ที่นั่ง ซ้าย 3 ขวา 3 เราได้นั่งแถวแรกเลยเพราะได้เช็คอินเป็นรายแรกๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นความคิดที่ผิดเพราะแถวแรกเป็นส่วนที่แม่สาวแอร์โฮสเตสที่ถูกคัดเลือกจากมิสเตอร์วีเจมากับมือนั้นใช้เป็นพื้นที่ในการทำงาน อันได้แก่การสาธิตอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ แถมล้อคเกอร์บนหัวยังถูกอัดแน่นไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกของผู้โดยสารต่างๆ ทำให้เขาต้องข้ามหัวเราหยิบนู่นหยิบนี่อยู่หลายหนทีเดียว เครื่องออกตรงเวลาเป๊ะ 20:25 น. เดินทางตรงไปลงที่เดลลี (Delhi) ไม่แวะที่ใดให้เสียเวลา ส่วนใหญ่ทุกสายการบินจะมีตารางเวลาในการบินไปลงเดลลีในช่วงค่ำๆ ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง เราจึงไปถึงค่อนข้างดึกคือเวลา 23:25 น. เวลาที่อินเดียเดินทางช้ากว่าประเทศไทย 
1 ชั่วโมงครึ่ง เราจึงค่อนข้างจะง่วงมาก และเมื่อเดินออกจากงวงช้าง ภาพที่เห็นด้านหน้าทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจและไม่คุ้นเคยเพราะสนามบินเปลี่ยนไปมาก เป็นสนามบินใหม่ที่เพิ่งเปิดเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่ใช้ชื่อเดิมคือ “อินทิรา คานธี” ความเรียบร้อยพอๆ กับตอนสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใหม่ๆ คือไม่เสร็จเรียบร้อยดี เหมืิอนต้องเร่งเปิดให้ทันต้อนรับกีฬา Commonwealth Games ที่จัดขึ้นระหว่างที่เราเดินทางไปอินเดียพอดี คือช่วง 3-14 ตุลาคม 2553 สนามบินกว้างใหญ่ไพศาลมาก กว่าเราจะเดินจากงวงช้างไปจนถึงเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองนั้นก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแทบขาลาก ใจก็อยากรีบออกไปให้เร็วที่สุดเพราะถ้าเรายิ่งช้าเวลานอนพักก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
     สนามบินยุคใหม่ก็ต้องมีการบริการแบบปรับปรุงใหม่ เรารอตรวจพาสปอร์ตไม่นานนักเพราะมีพนักงานให้บริการเยอะมาก แต่ช่วงรอกระเป๋าโผล่จากสายพานนี่สิค่อนข้างนาน ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกขนาดเราเดินมายังนานเลย ช่วงนี้เลยเป็นช่วงห้องน้ำกับแลกเงิน เราแลกเงินดอลล่าห์เป็นเงินรูปีจำนวนหนึ่งที่เคาน์เตอร์แลกเงินภายในสนามบิน เสียค่าบริการ 55 รูปี (แต่สามารถรวมกันแลกได้เพราะเป็น fixed rate แลกเท่าไหร่ก็เสียค่าบริการเท่ากัน) เวลานำเงินไปจากเมืองไทยให้แลกเป็นดอลล่าห์ไปและแบ่งส่วนแลกเป็นเงินรูปีเพื่อใช้สอยเท่าที่จำเป็น 
ที่เหลือให้แยกเก็บไว้เพราะเวลาแลกคืนอาจจะลำบากนิดหน่อย  แล้วอีกอย่างเงินดอลล่าห์ก็สามารถใช้จ่ายในร้านค้าได้สะดวก
     เมื่อผ่านพิธีการทุกอย่างเรียบร้อย เราเดินออกไปข้างนอกเพื่อหาคนจากทางทัวร์ท้องถิ่นที่จะมารับไปโรงแรม ฉันเหลือบไปเห็นแขกหน้าทะเล้นคนหนึ่งชี้น้ิวมาที่ฉัน จึงกวาดตามองเขาให้ชัดๆ แล้วชี้มาที่ตัวเองเป็นนัยว่า
     “อีนี่ฉานเหรอจ๊ะที่นายมารับน่ะ”
     เขาจึงโชว์ป้ายชื่อทัวร์และชื่อฉันเป็นการคอนเฟิร์มว่าใช่
     “ฉานนี่แหล่ะนายจ๋า มามะมาซะดีๆ เดี๋ยวจะพาไปส่งโรงแรม”
     “รู้ได้ไงว่าเป็นเรา เราหน้าจืดผิดแผกจากคนแถวนี้มากเหรอ” ฉันถามจิมมี่ผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้กับเราระหว่างที่อยู่ที่เดลลี
     “ผมเห็นป้ายบนกระเป๋าคุณน่ะ ผมจำป้ายของโกลบอลฮอลิเดย์ได้ดี”
     การมากับทัวร์ก็ดีไปอย่างมีคนจัดเตรียมให้ทุกอย่าง แม้แต่การกรอกเอกสารแทบไม่ต้องทำอะไรเลยเซ็นต์ชื่ออย่างเดียวผ่านฉลุย เรารอรถอยู่พักใหญ่เนื่องจากที่จอดรถอยู่ไกลออกไปกว่าคนขับจะไปวนมาเราก็แทบอยากยืนหลับได้เหมือนนก อากาศที่เดลลีในช่วงปลายเดือนกันยายนนั้นยังอบอ้าวคล้ายๆ ที่เมืองไทย จิมมี่ชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้และสัมภาษณ์ว่าใครเคยมาอินเดียแล้วบ้างพลางโอ้อวดสรรพคุณของอินเดียต่างๆ นาๆ นฐเริ่มทำหน้าแหยงๆ กับฝุ่นควันตามทางที่รถผ่านไป ฉันจึงพยายามปลอบใจว่านอกเมืองไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ แต่เป็นแบบไหนคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะอี่นี่ฉานก็เพิ่งจะมาลาดัคห์เป็นครั้งแรกเหมือนกันน่ะนายจ๋า
     หลังจากนั่งรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงโรงแรมที่ทางทัวร์จัดเตรียมไว้ให้พักและแยกย้ายกันรีบอาบน้ำและพุ่งหลาวลงที่นอนทันทีเพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว แม้ว่าการเดินทางจะค่อนข้างเหนื่อยแต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เรารอคอยการไปเลห์ในวันรุ่งขึ้นอย่างใจจดจ่อ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น