25 กันยายน 2554

12. เราไม่ได้อยู่ในโลกเพียงเดียวดาย

     ตื่นแต่เช้าลงมายังด้านล่างของโรงแรมโตว่าที่เป็นที่ตั้งของห้องอาหารมื้อเช้า จัดอยู่เป็นสัดส่วน เราแง้มประตูออก แล้วก็เจอกับโต๊ะอาหารที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตามจำนวนแขกที่พัก โต๊ะอาหารมีขนาดเตี้ยต้องนั่งกับพื้น เมื่อเราไปถึงพนักงานที่อยู่ในชุดแบบฟอร์มทันสมัยปนกับโบราณออกมาต้อนรับและพาไปยังโต๊ะของเรา เขาจุดไฟในเตาเล็กๆ ของแต่ละคนเพื่ออุ่นเต้าหู้ และไปนำชาร้อนมาเสริฟ เรารู้สึกเกร็งๆ นิดหน่อย เพราะดูว่าจะเป็นการทานที่ไฮโซ
กว่าโรงแรมแรก อาหารหลักนั้นคือปลาแซลม่อนย่างเกลือ ไข่ต้มในน้ำซีอ้ิว พร้อมกับเครื่องเคียงคือผัก ทานพร้อมข้าว หน้าตาดูน่าดูมากกว่าน่ากิน เราเลยต้องค่อยๆ เล็มอาหารและทำเสียงเบาสุดๆ แขกเร่ิมทยอยเข้ามาในห้องอาหาร ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากว่าการทานอาหารในมื้อนี้ค่อนข้างดูเป็นทางการเราเลยใช้เวลาไม่มากนัก อยากออกไปเที่ยวเร็วๆ



     ก่อนที่จะออกเดินทางไปเที่ยวในเขต อารายาชิม่า (Arayashima) เราแวะขอคำแนะนำจากพนักงานต้อนรับสำหรับการฉลองปีใหม่ในคืนนี้ แบบที่เป็น traditional จริงๆ คือฉลองปีใหม่แบบชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ว่าไปนั่น เธอแนะนำว่าให้ไปที่วัด ชิโอนิน (Chionin) เพราะจะมีการลั่นระฆังต้อนรับปีใหม่ตอนเที่ยงคืน
     เรานั่งรถเมล์สาย 28 เพื่อไปยังเขตอารายาชิม่า ซึ่งไม่สามารถใช้ตั๋ววันได้ ต้องจ่ายเป็นเที่ยวราคา 210 เยน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ลงที่ป้าย Arashiyama Koen เมื่อลงมา
จะเจอสะพานไม้ยาวชื่อว่า โทเก็ตซึ (Togetsu-kyo) ข้ามแม่น้ำคัตซุระ (Katsura) วิวบริเวณนี้สวยงามเป็นธรรมชาติมากๆ มีแม่น้ำไหลเอื่อยพาดผ่านด้านหน้าภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมรกครึ้ม ถ้ามาช่วงซากุระบานก็จะมีสีสันสวยงามกว่านี้ แต่อาจจะไม่สงบเท่ากับหน้าหนาว คงมี
นักท่องเที่ยวพลุกพล่านยืนถ่ายรูปคู่กับธรรมชาติอันสวยงามจนไม่มีพื้นที่ให้เราได้สัมผัส
ความงามได้เต็มอิ่มเท่าไหร่นัก การท่องเที่ยวนั้นอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าไม่มีธรรมชาติอันสวยงามอ่อนหวาน ก็อาจไม่มีตัวดึงดูดผู้คนให้แห่กันเข้ามาดูชม เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ดี ถ้าปีไหนต้นซากุระเกิดงอนมนุษย์ไม่ยอมผลิดอกให้ได้ชมกัน ถึงเวลานั้นชาวญี่ปุ่นคงต้องร้องไห้ ธรรมชาติเกิดดับและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่มนุษย์เบียดเบียนพื้นที่ของธรรมชาติมากขึ้น ทำให้ภาพที่เคยสวยกลับหมองลง ต้นไม้ดอกไม้ที่เคยพล้ิวไหวยามต้องลมกลับกลายเป็นตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท้าทายอำนาจของธรรมชาติ ตึกสูงเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเฉกเช่นธรรมชาติจึงยังขาดเสน่ห์ที่น่าหลงไหลและค้นหา ลองคิดดูง่ายๆ ว่า เราจะสามารถถ่ายรูปตึกตึกเดิมซ้ำๆ ได้ซักกี่หน แต่สำหรับต้นไม้หนึ่งต้น ถ่ายทุกวันก็แตกต่างกันได้ทุกวัน



     เราเดินข้ามสะพานเพื่อไปเที่ยวที่วัด เท็นริวจิ (Tenryuji) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสะพาน 
เดินไปไม่ไกลนัก วัดนี้มีอายุอานามกว่า 350 ปี ตัววัดนั้นเคยถูกไฟไหม้เผาทำลายจนต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่สวนโดยรอบกลับรอดพ้นมาได้ ถ้าอยากเข้าชมต้องเสียเงิน 600 เยน ซึ่งสามารถเดินดูวัดในส่วนด้านในรวมทั้งสวนเซนที่อยู่รอบๆ ภายในวัดนั้นเปิดโชว์ห้องต่างๆ ซึ่งไม่มี
ของประดับประดาอะไรมากมาย ส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งๆ แต่บรรยากาศสงบสดชื่น เพราะ
โอบล้อมด้วยสวนเซนและมีบ่อน้ำบ่อใหญ่อยู่ตรงกลาง 




     ที่วัดนี้มีโปรแกรมเปิดรับคนที่มีความประสงค์จะฝึกสมาธิแบบเซนให้มาพักอาศัยที่วัดได้โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาพุทธนิกายเซน และเป็นชนชาติใดก็สามารถเข้าร่วมได้ ฉันลองเข้าไปดูรายละเอียดแล้ว ต้องยอมแพ้ตรงที่เวลาเร่ิมต้นของการฝึกนี่แหล่ะ เพราะเขาเริ่มกันตั้งแต่ตี 3 เลยทีเดียว อืมม์ บาปยังหนาอยู่มาก




     ฉันชอบคำสอนอันหนึ่งของท่าน ซาไก โตกุเกน (Sakai Tokugen) ท่านเป็นพระรูปหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการเผยแพร่คำสอนของนิกายเซน ท่านให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกันบนโลกผืนนี้ไว้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ภูเขา ต้นไม้ เหล่านกกา แต่ละชีวิตล้วนมีผลกระทบต่อกัน
และกัน เราไม่ได้อยู่บนโลกเพียงโดดเดี่ยวเดียวดาย เราไม่ได้มีอิทธิพลต่อการอยู่ของเรา 
หากแต่เป็นสิ่งรอบๆ ตัวเราต่างหาก เราจึงควรต้องอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

“Our existence here and now is not due to our own force, but to the force, blessing and support of all around us.  
This is not only true for ourselves.  Mountains, trees, and birds — all beings exist accordingly."
Sakai Tokugen

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น