17 กันยายน 2554

4. โอซาก้าสัพเพเหระ

เมื่อเพลิดเพลินกับการชมปราสาทแล้วเรามีธุระต้องไปทำต่อคือไปซื้อกล้อง แต่ก่อน
จะไปช้อปปิ้งเราต้องหาอาหารใส่ท้องก่อน จำได้ว่า อินาดะบอกเราว่าด้านล่างของห้างคินเททสุ (Kintetsu) นั้นมีอาหารกล่องที่เอร็ดอร่อย ราคาย่อมเยา เราจึงนั่งรถใต้ดินไปลงยังป้าย
เทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งนั่งรถสาย ทานิมาชิ (Tanimachi) ไปเพียงไม่กี่ป้าย เราไปเดินสำรวจดูตรงชั้นใต้ดิน ก็เห็นว่ามีอาหารหลากหลายน่าทานสมดังคำแนะนำจริง ๆ แต่ … ไม่มีที่นั่ง
ให้เรา ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ไว้ซื้อกลับไปกินที่บ้าน ตอนแรกฉันกะว่าจะยืนทานหรือนั่งทานด้านนอกห้าง แต่กลัวจะเสียกริยา เสียมารยาท เสียหน้าคนไทย เดี๋ยวคนญี่ปุ่นเค้าจะว่าได้ว่าคนไทยไม่มีวัฒนธรรมการกินเอาซะเลย เราเลยต้องเมินหน้าจากอาหารหน้าตาดีเหล่านั้น ตัดสินใจว่าจะไปฝากท้องเอาดาบหน้า เลยขึ้นรถใหม่ คราวนี้ไปลงสถานี อิบิสุโช (Ebisucho) เพื่อที่จะไปเดินดูของแถวย่าน Nipponbashi Den Den Town ซึ่งเป็นแหล่งขายเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด เปรียบได้กับย่าน อากิฮาบาระ (Akihabara) ในโตเกียว เรามีจุดมุ่งหมายในการไปซื้อกล้องและเลนส์ แต่ก่อนอื่นต้องเติมพลังให้ท้องก่อน
เมื่อลงรถใต้ดินออกมายังด้านบนก็ละลานตาไปกับตึกสูงและร้านค้ามากมายที่มีป้าย
สีสันสดใสขนาดใหญ่โต แย่งความสนใจจากสายตาเรา เมื่อพยายามหาทิศจนเจอว่าควรเดินไปด้านไหนก็เล็งหาร้านอาหารกันก่อนเลย คิดในใจว่าเจออะไรที่ดูเข้าท่าก็จะเข้าไปกินทันที เพราะตอนนั้นท้องร้องบรรเลงกันสนั่นแล้ว เหลือบไปเห็นร้านเล็กๆ ที่เน้นขายเฉพาะข้าวราดหน้าแกงกะหรี่ มีคนนั่งกินอยู่ด้านในหลายคน ก็คิดว่าน่าจะรสชาติใช้ได้ เราจึงตัดสินใจทานข้าวหน้าแกงกะหรี่สำหรับมื้อกลางวันวันนี้ ร้านนี้เป็นร้านที่ขายเฉพาะข้าวหน้าแกงกะหรี่อย่างเดียวเลย แต่มีเนื้อสัตว์หลายอย่าง เช่น หมูทอด มันผสมหมูบดทอด เนื้อ กุ้ง หรือแบบคอมโบคือรวมหลายชนิด ก่อนอื่นเราต้องหยอดเหรียญในตู้ด้านหน้าเพื่อเลือกชนิดของอาหารก่อนแล้วเอาตั๋วมาให้กับพนักงาน ฉันเลือกทานแบบคอมโบคือมีหมูทอด ไก่ทอด และมันบด ราคา 850 เยน ถือว่าไม่แพงนักสำหรับอาหารจานใหญ่ ร้านมีขนาดเล็กเราจึงนั่งตรงเคาน์เตอร์ ด้านหน้าเป็นกุ๊กที่ปรุงแกงกะหรี่ใหม่สดทีละจาน ไม่ใช่แบบต้มไว้เป็นหม้อ พูดถึงข้าวราดหน้าแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่นนี้เป็นหนึ่งในอาหารญี่ปุ่นจานโปรดของฉัน ทานบ่อยๆ เวลาที่อยู่กรุงเทพ คิดว่ามีคุณค่าทางด้านโภชนาการที่ครบถ้วน แถมรสชาติก็กลมกล่อม ไม่เผ็ดเกินไป ไม่เข้มข้นมากด้วยเครื่องเทศเหมือนแกงกะหรี่แบบอินเดีย ความจริงไม่ใช่เป็นอาหารพื้นเมืองของญี่ปุ่นแต่ได้รับวัฒนธรรมการทานอาหารจากอินเดียมาอีกทีและมาดัดแปลงสูตร ข้าวราดแกงกะหรี่กลายเป็นหนึ่งในอาหารยอดฮิตในบ้านคนญี่ปุ่นมาเป็นศตวรรษแล้ว
เมื่ออิ่มท้องแล้วก็สามารถเดินฝ่าความหนาวและความเมื่อยกันต่อได้ เราเดินดูตามร้านที่อยู่ตลอดถนนสายหลักนี้ สอบถามราคาค่ากล้องรุ่นที่พี่ตุ๊กตั้งใจมาซื้อเพื่อเปรียบเทียบกับร้านที่ได้รับคำแนะนำมาว่าให้ราคาดี นอกจากร้านขายเครื่องไฟฟ้าแบบทันสมัยเปี้ยบที่เรียงตัวกับอยู่อย่างหนาแน่นบนถนนเส้นนี้ยังมีร้านขายหนังที่อยู่ในรูปแบบเทปวีดีโอ ร้านขายการ์ตูน หรือแม้แต่ร้านขายหนังโป๊ที่ตั้งอยู่อย่างไม่ต้องหลบซ่อน มีคนเดินเข้าออกอย่างคึกคัก ตามตรอกซอกซอยก็มีตลาดสด ตลาดผลไม้ ข้าวของเครื่องใช้แทรกตัวอยู่ด้วย ทำให้เรา
ตื่นตากับพวกอาหารสด กุ้ง ปู ตัวใหญ่ยักษ์ ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ มีขนมวางขายมากมาย อาจเพราะเป็นช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ คนเริ่มออกหาซื้อของกันอย่างคึกคัก เมื่อไปถึงร้านกล้อง Tokiwa เราก็เลือกซื้อกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ อย่างตื่นตา พี่ตุ๊กได้กล้องแคนนอนรุ่นใหม่กว่าเดิมที่มีอยู่และเลนส์ 3 ตัว ในราคาและคุณภาพแบบญี่ปุ่น นั่นก็คือคุณภาพดีกว่าของที่ผลิตนอกประเทศเพื่อส่งขายตามประเทศต่างๆ ฉันล่ะชอบนโยบายของประเทศนี้จริงๆ ที่ผลิตแต่ของมีคุณภาพให้คนในประเทศใช้ ส่วนฉันได้เลนส์ wide หนึ่งตัวเพื่อเก็บภาพสถาปัตยกรรมตามที่ชอบ ราคากล้องร้านนี้ถูกกว่า Big Camera ที่ว่าถูกมากๆ ซะอีก แถมดูน่าเชื่อถือ เพราะเป็นร้านที่เน้นขายผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ใช่ขายเครื่องไฟฟ้าเละเทะไปหมด พนักงานก็ใจเย็น ใจดี และมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาก
หลังจากเจออากาศหนาวที่โอซาก้าฉันรู้ตัวทันทีว่าต้องเตรียมอุปกรณ์เสริมกันหนาวเพิ่มเติมเพราะเกียวโตคงหนาวเย็นกว่านี้มาก ฉันนำเสื้อแขนยาวมาเพียงไม่กี่ตัวกะว่าจะมาหาซื้อเพ่ิม เราจึงไปเดินเล่นกันที่ร้านมูจิเพราะเป็นร้านท่ีขายของคุณภาพดี ราคาไม่แพง และมีของหลากหลายให้เลือก และไปต่อที่ห้าง มารูอิ (Marui) หลังจากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะหาซื้ออาหารมื้อค่ำจากห้าง ทากาชิยามา (Takashiyama) กลับไปทานที่โรงแรมก่อนที่จะไปเดินเล่นต่อตรงแหล่งช้อปปิ้งด้านใต้สถานีนัมบะ (Namba) ฉันทานข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาดิบ และข้าวปั้นหน้าปู ส่วนพี่ตุ๊กทานเทมปุระ เราเปลี่ยนใจไม่ไปเดินเล่นต่อเพราะค่อนข้างเหนื่อยและเมื่อยขา และวันรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปเกียวโต                    
เค้าบอกกันว่าอาหารที่โอซาก้านั้นเป็นอาหารที่อร่อย แต่ชาวโอซาก้ากลับบอกเราว่า
ถ้าจะทานอาหารดีๆ ปลาสดๆ ให้รอไปทานที่โตเกียวเถอะ หลายคนบอกอีกว่าช้อปป้ิงที่โอซาก้าสนุกและถูกกว่าที่โตเกียวซะอีก โอซาก้าจึงยังเป็นเมืองที่ฉันขาดตกสำรวจไปอีกหลายที่เพราะเวลาที่จำกัด แถมยังมีเรื่องที่ทำให้เสียใจอีกนั่นก็คือ ภาพถ่ายทั้งหมดที่ถ่ายเมืองโอซาก้านั้่นหายวับไปกับตา ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอาเพศอะไร หรือเป็นเพราะฉันละเมอเผลอกดลบรูปไปหมดก็ไม่รู้ ยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ต้องขอโทษผู้อ่านทุกคนด้วยที่ไม่มีรูปสวยของปราสาทโอซาก้ามาอวดโฉม ไว้งวดหน้าคงต้องเจอกันใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น