28 กันยายน 2554

15. ลั่นระฆังขจัดกิเลส

     ยัง ยังไม่สะใจ ใครบอกว่าเราจะยอมนอนเร็วในคืนสุดท้ายของปี
     เมื่อนาฬิกาเดินมาถึงห้าทุ่ม เราก็พร้อมออกเดินทางไปเที่ยววัดกัน จากที่ได้ไถ่ถามพนักงานโรงแรมว่ามีที่ไหนฉลองปีใหม่แบบญี่ปุ้นญี่ปุ่นบ้าง ได้รับคำตอบว่าคือวัดชิโอนิน (Chion-in Temple) วัดพุทธนิกายโจโด (Jodo) หรือ เพียวแลนด์ (Pure land) ที่มีท่าน โฮเนน (Honen) เป็นศาสดา ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ศาสนาพุทธกลับมาถูกนับถือและเข้าถึงได้จากคนทุกชนชั้น
ไม่เฉพาะชนชั้นสูงเหมือนที่เป็นก่อนหน้านั้น วัดนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ 1234 ตรงที่ที่ท่านโฮเนน
มรณะภาพ วัดนี้ยังโด่งดังจากการใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดเรื่องดัง “The Last Samurai” อีกด้วย
     เราต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ตรงสถานีเกียวโต ดูเหมือนว่ามีคนมากมายที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกับเรา คนต่อแถวขึ้นรถเมล์กันอย่างแน่น เราต้องรอรถคันที่สองถึงจะสามารถตะกายขึ้นไปได้ แน่นอนว่ายืนตลอดสายแต่วัดอยู่ไม่ไกลนักจึงใช้เวลาเมื่อยไม่นาน
     ส่ิงที่เด่นตระหง่านตั้งแต่ทางเข้านั้นก็คือประตูด้านหน้าที่ใหญ่โตอลังการมาก เป็นประตูวัดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นสูงถึง 24 เมตรทีเดียว เราต้องอ้อมไปเดินขึ้นจากทางด้านข้างซึ่งเป็นบันไดขึ้นเนินไปหอระฆังที่เป็นไฮไลท์ของคืนนี้ ระฆังที่นี่มีขนาดใหญ่มาก หนักถึง 74 ตัน ต้องใช้พระจำนวน 17 รูปในการลั่นระฆังในคืนสุดท้ายของปีเป็นธรรมเนียมที่พระจะสวดมนต์และลั่นระฆังจำนวน 108 ครั้ง ซึ่งเป็นการปัดเป่ากิเลสที่เรามีอยู่กับตัวถึง 108 ชนิดด้วยกัน




     เราเดินท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อเข้าไปดูพิธีลั่นระฆัง มีทั้งคนท้องถิ่นและ
นักท่องเที่ยว ทางวัดจัดระเบียบไว้ค่อนข้างดี มีเชือกกั้นให้คนเข้าไปได้เป็นกลุ่ม เมื่อเห็นว่าเร่ิมเบียดกันมากก็จะกั้นไว้ด้านนอกก่อน เราเดินลื่นไหลไปตามคลื่นฝูงชน หยุดเพื่อถ่ายรูปการ
ลั่นระฆังบ้างเป็นระยะ ดูเหมือนว่าผู้คนจะสนุกไปกับจังหวะการผลักไม้ขนาดใหญ่ให้ชนกับระฆังพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระ เมื่อเดินวนครบรอบก็ต้องเดินออกไปอีกทางหนึ่ง รอบๆ วัดมีร้านค้ามาตั้งขายอาหารและขนมให้คนที่มาเที่ยวได้กินกันเราเองก็พยายามหาอะไรทานเพราะมื้อค่ำทานไม่ค่อยอิ่มนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรถูกใจเท่าไหร่ ความจริงน่าจะทานบะหมี่
ซะหน่อย เพราะเค้าเชื่อกันว่าการทานบะหมี่ในวันแรกของปีจะทำให้อายุยืนยาว 
     เมื่อกลับออกมาจากวัดแล้วเราต้องนั่งรอรถเมล์ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ รอ ร้อ รอ ไม่มีทีท่าว่าจะมีรถเมล์ แถมการจราจรบริเวณหน้าวัดนั้นติดหนึบ จึงตัดสินใจข้ามถนนเข้าไป
ยังซอยเล็กๆ เพื่อเรียกแท้กซี่หวังใจว่าจะสามารถลัดไปออกถนนด้านอื่นได้
     ฉันบอกชื่อถนนที่ตัดผ่านด้านหน้าโรงแรมของเรากับคุณลุงแท้กซี่ แกก็ไม่ได้ถามอะไร
พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ออกรถ นั่งไปซักพักแกก็จอดตรงถนนหน้าตาไม่คุ้นเคยเอาซะเลย ฉันเร่ิมวิตกกังวล ไอ้ครั้นจะลงตรงนั้นแล้วเดินต่อเห็นทีว่าจะไม่เข้าท่า เลยบอกแกไปว่าไม่ใช่ที่ที่เรา
จะไป เอาเป็นว่าไปส่งใกล้ๆ สถานีเกียวโตก็แล้วกัน หลังจากนั้นเราคงไม่หลงทางอย่างแน่นอน เดินต่อเอาเองอีกนิดก็ได้ แกก็ออกรถขับต่อไปเลี้ยวนู่นเลี้ยวนี่ ทันใดนั้นเองถนนเร่ิมคุ้นตา เมื่อมองไปยังด้านหน้าเห็นป้ายโรงแรม “โตว่า” อยู่ไม่ไกล รีบแจ้งแก่คุณลุงทันที ไม่รู้ว่าแกเก่งหรือเราเก่งกันแน่ที่สามารถพามาถึงหน้าโรงแรมได้โดยไม่ต้องเดินต่อ มิเตอร์บอกราคาที่ 1,620 เยน ฉันควักเงินออกมาจ่าย ปรากฏว่าคุณลุงแกไม่ยอมรับเงิน แกรับไปแค่แบ้งค์พันเยน แล้วที่เหลือคืนเรามา ฉันพยายามยัดเยียดให้แก แต่ยังไง้ยังไงแกก็ไม่ยอมท่าเดียว แกคงคิดว่า
แกขับรถอ้อมไปมาทำให้เราต้องเสียเงินเยอะล่ะมั้ง แหมคนดีๆ อย่างนี้หายากจริงๆ 
เราขอบคุณคุณลุงพร้อมรอยยิ้ม
     ได้แต่คิดว่าคงเป็นความโชคดีที่ได้เดินผ่านเสาโทริหมื่นต้น และฟังเสียงระฆังที่วัดชิโอนินปัดเป่ากิเลสออกไปเป็นแน่ถึงได้เจอเรื่องดีๆ คนดีๆ ตั้งแต่วันแรกของปี 2009 ขนาดนี้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น