29 กันยายน 2554

16. วันเท้าแข็ง

     เราตื่นแต่เช้าตรู่เพราะต้องออกเดินทางจากเมืองเกียวโตเพื่อไปแวะเที่ยวที่เมืองทากายาม่า (Takayama) ฉลองวันแรกของปี ลงไปชั้นใต้ดินเพื่อทานอาหารเช้าที่วันนี้มีหน้าตาแปลกและทานยากซักหน่อย เป็นกุ้งต้มทั้งตัวกับปลาช้ินเล็ก รสชาติจืดๆ และมีอะไรไม่รู้รสชาติหวานๆ อีกสองสามชิ้น ยังดีที่มีเต้าหู้และซุปที่รสชาติคุ้นเคยหน่อย ถ้าต้องให้คะแนนคงได้แค่ 4 เต็ม 10 ถ้าเทียบกับโรงแรมแรกที่อยู่นี่เทียบกันไม่ติดเลย โรงแรมนี้ดูจะเน้นดีไซน์มากไปหน่อย ดีไซน์ไปซะทุกเรื่อง มันก็เลยไม่ค่อยอบอุ่น ยังนึกถึงหน้าคุณแม่บ้านที่คอยเอาอกเอาใจเรา
ไม่หาย ถ้าให้แนะนำก็ต้องบอกว่าอยู่โรงแรมแรก อ่ิม อร่อย สบาย ได้อารมณ์กว่ากันเยอะ
     เราออกเดินไปสถานีรถไฟตอนแปดโมงกว่าๆ หนาวก็หนาวแถมเดินลำบากเพราะไอ้กระเป๋าพิการอีกแต่ก็ไม่เกินความพยายามอยากเที่ยวไปได้ จัดการจองตั๋วรถไฟชิงคันเซน (Shinkansen) โดยใช้บัตรเบ่งเจอาร์พาส รถไฟชิงคันเซนมีชื่อเล่นเรียกกันติดปากว่า “Bullet Train” หรือรถไฟกระสุน มาจากความเร็วของมันนั่นเอง ถือว่าเป็นระบบการขนส่งมวลชนที่เวิร์คมากๆ และถือเป็นความภูมิใจของชาวญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ใช่รถไฟที่เร็วที่สุด
ในโลกแล้ว แต่ความถี่และความตรงต่อเวลานับว่าสุดยอด แนะนำว่าควรจองที่นั่งเพราะบางทีขบวนที่ไม่ต้องจองที่อาจจะเต็ม ยิ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ชิงคันเซนนั้นมีหลายยี่ห้อต้องดูรหัสและเวลาให้ดี ขึ้นแรกๆ อาจมีงงได้
     เราต้องไปลงที่นาโกย่า (Nagoya) ก่อนเพื่อเปลี่ยนรถไฟไปยังเมืองทากายาม่า ใช้เวลา
สิริรวมแล้วก็ 3 ½ ชั่วโมง ฉันใช้เวลาหลับอย่างเต็มอ่ิม เพราะเมื่อคืนนอนน้อย เมื่อรถไฟใกล้เข้าเมืองทากายาม่าบรรยกาศเร่ิมอึมครึมและมีหิมะตกบ้านเรือนถูกปกคลุมขาวไปหมด ดูๆ ไปก็สวยดี แต่คงไม่สวยแน่ถ้าเราต้องเดินตากและย่ำหิมะตลอดวันนี้ ฉันเกิดความกังวลเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชอบความเฉอะแฉะ เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนจอดเทียบชานชลาหิมะก็ยังตกไม่หยุด คราวนี้ก็ต้องเร่ิมทำใจเพราะเราไม่ควรให้อะไรมาเป็นอุปสรรคการเที่ยวของเราได้
     เราลากกระเป๋าเพื่อหาล้อกเกอร์ภายในสถานีรถไฟ แต่ทุกตู้เต็มหมดแม้จะมีอยู่จำนวนมากก็ตาม ฉันจึงเดินไปที่ศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว พนักงานให้ความช่วยเหลือดีมาก บอกว่าที่ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อเดลี่ (Daily) นั้่นรับฝากกระเป๋า ฉันจึงหยิบแผนที่ภาษาอังกฤษมาประกอบการเดินเที่ยว ร้านเดลี่อยู่ทางด้านขวาของสถานีไม่ไกล เดินเข้าไปบอกฝากกับพนักงานได้เลย ค่าบริการใบละ 500 เยน ฝากได้ถึง 5 โมงเย็น
     เมื่อสัมภาระหลุดจากตัวไปแล้วคราวนี้ก็เดินสบายตัว มุ่งหน้าเข้าเมืองเก่าตามแผนที่ที่ได้มา ทากายาม่าเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะอนุรักษ์บ้านเก่า ของเก่า ศิลปะต่างๆ ไว้ได้อย่างดี ย่านซานโนมาชิ (Sannomachi) เป็นย่านที่เขาอนุรักษ์บ้านเก่าไว้ตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยหุบเขาทำให้ทำการเกษตรได้ไม่ดีแต่มีชื่อเสียงทางด้านไม้ มีช่าง
มีฝีมือมากมาย เราเดินตามถนนเล็กๆ ที่มีบ้านเก่ารายล้อม ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ เดินแล้วเหมือนย้อนไปอยู่ในยุคเก่า ตามหัวมุมถนนยังมีรถลากให้บริการอีกด้วย เราเดินดูได้ซักพักก็ต้องยอมแพ้ธรรมชาติ หิมะเร่ิมตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราเดินต่อไม่ไหว แวะเข้าไปพักที่ร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งตกแต่งเหมือนบ้านเก่าสมัยโบราณ น่ารัก อบอุ่นมากๆ มีรายการอาหารไม่มากนัก และเนื่องจากร้านอาหารละแวกนั้นปิดไปหลายร้าน ร้านนี้เลยต้องรับลูกค้าเต็มๆ ทำให้อาหารหลายจานหมดลง ฉันจึงต้องทานข้าวหน้าเนื้อย่าง ราคาจานละ 1,100 เยน มาพร้อมกับซุปและผักดอง น้ำชาร้อนบริการฟรี ความจริงฉันไม่ทานเนื้อวัวมาหลายปีแล้ว แต่ทำไงได้ จังหวะนั้นมีอะไรก็ต้องทาน ความจริงแล้วละแวกนี้โด่งดังเรื่องเนื้อย่างมาก ถ้าใครชอบทานเนื้อก็แนะนำให้ลองทานดู เนื้อจะย่างสุกเฉพาะด้านนอก
ส่วนด้านในยังไม่สุกดี แต่รสชาติอร่อยเลิศมาก เรานั่งพักในร้านให้หายหนาวซักครู่ก็ออกเดินทางต่อ หิมะยังไม่หยุด แต่ด้วยเวลาที่เรามีไม่มาก ทำให้ต้องฝ่าลุยกับธรรมชาติ เค้าบอกกันว่าอยู่ใต้ฟ้า (ไทย) อย่ากลัวฝน เพราะงั้นอยู่ใต้ฟ้า (ญี่ปุ่น) ก็ต้องไม่กลัวหิมะ คิดซะว่าเป็นเรื่องสนุกแล้วกัน ปีๆ นึงเราจะได้เจอหิมะกันกี่มากน้อยเชียว






     ที่ต่อไปที่แวะคือพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านคุซากาเบ้ (Kusakabe-Mingeikan) เป็นบ้านเก่าของตระกูลพ่อค้า คุซากาเบ้ ต่อมาจึงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนได้ศึกษาเกี่ยวกับเครื่องใช้ข้าวของโบราณ และได้ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมสมัยเอโดะ นับว่าเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ
     เมื่อเข้าไปด้านในจะเจอเคาน์เตอร์เก็บค่าเข้าชมราคา 500 เยน สามารถเดินชมและถ่ายรูปได้ตามสบายในส่วนด้านหน้าเป็นบ้านเก่าที่จัดวางข้าวของเครื่องใช้ไว้เหมือนบ้านคนปกติ 
นั่นก็เพราะเป็นบ้านที่สร้างโดยสามัญชนคนธรรมดาไม่ใช่พวกซามูไร ส่วนถัดไปด้านในจะมี
อีกหลังหนึ่งที่เน้นโชว์ของสะสมต่างๆ ภายในมีบริเวณกว้างขวางแถมยังมีห้องต้อนรับ
นักท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งเป็นห้องที่ติดฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่น มีชาเขียวเสิร์ฟพร้อมกับ
ขนมแป้งทอด (Rice Cracker) เรานั่งกันอยู่พักใหญ่เพราะข้างนอกมันหนาวเหลือเกิน แถมหิมะก็ตกไม่หยุด ที่แย่ไปกว่านั้นน้ำได้ซึมเข้าไปในรองเท้าฉันทำให้เท้าแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว จึงต้องถอดรองเท้าถุงเท้าออกมาอังฮีทเตอร์ช่วยให้คลายความแข็งลง ไม่งั้นคงเดินต่อด้วยความยากลำบากมาก




     กะว่าจะไปดูบ้านเก่าต่ออีกหลัง (Yoshijima Heritage House) ซึ่งหลังนี้ในสมัยโบราณเป็นบ้านที่มีชื่อเสียงในการต้มสาเกขาย เสียดายที่วันนี้ปิด ว่ากันว่าบ้านหลังนี้ในส่วนของสถาปัตยกรรมจะดูมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าบ้านคุซากาเบ้
     ไม่เป็นไร เราไปที่ที่เค้าเปิดก็ได้ ว่าแล้วก็ตรงไปศาลเจ้า ซากุระยาม่า ฮาชิมังกุ (Sakurayama Hashimangu) เป็นวัดที่ชาวเมืองที่อาศัยอยู่แถบทิศเหนือจะมากราบไหว้
พระกัน ที่วัดนี้ยังมีห้องเก็บรถแห่ถึง 4 จากทั้งหมด 11 คันจึงจะถูกนำมาแห่รอบเมืองในช่วงเทศกาลสำคัญ เทศกาลแห่รถประจำปีซึ่งที่ทากายาม่านี้ถือเป็นเมืองที่มีการจัดเทศกาลรถแห่ย่ิงใหญ่และสวยงามติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น (อีกสองที่คือย่านกิออนที่เกียวโต (Gion Festival, Kyoto) และที่ชิชิบุ ไซตามะ (Shishibu Night Festival, Saitama Prefecture) ) 
มีการจัดสองช่วงคือช่วงฤดูใบไม้ผลิช่วงวันที่ 9-10 เมษายน และช่วงฤดูใบไม้ร่วงวันที่ 9 ตุลาคม ใครไปญี่ปุ่นช่วงนั้นลองแวะไปร่วมเทศกาลดู เค้าบอกว่าจัดงานใหญ่โต ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองแต่งตัวแบบพื้นเมืองโบราณ มีการแสดง ร้องรำทำเพลงและมีการแสดง
หุ่นกระบอกโบราณด้วย ช่วงนั้นคงเป็นช่วงแห่งสีสันและรอยยิ้ม ชาวเมืองคงภูมิใจที่ได้โชว์วัฒนธรรมโบราณให้นักท่องเที่ยวได้ดูกัน การรักษาขนมธรรมเนียม ศิลปะ ประเพณีโบราณไว้ได้อย่างเหนียวแน่นนั้นต้องอาศัยผู้คนชาวเมืองนี่แหล่ะ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่สนใจใส่ใจที่จะอนุรักษ์ของดีของโบราณก็มีอันต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา
     ตอนที่เราไปถึงนั้นหิมะตกค่อนข้างหนักทำให้ศาลเจ้าถูกปกคลุมไปด้วยปุยสีขาว ประกอบฉากหลังที่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกสวยแบบลึกลับดี ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมีชาวบ้านก่อกองไฟให้ความอบอุ่นแก่ผู้คนที่ผ่านไปมา ฉันก็ไปยืนอังมืออยู่พักหนึ่งให้คลายหนาวลง แม้ว่าหิมะจะตกแต่ผู้คนก็ไม่ได้ย่อท้อในการมาไหว้พระกัน อาจเพราะเป็นวันแรกของปีจึงต้องมาขอพรให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตลอดทั้งปี
     ฉันได้แต่หวังเหมือนกันว่าปีวัวดุนี้คงจะโชคดีเพราะตั้งแต่มาญี่ปุ่นได้ไปเยี่ยมวัดและศาลเจ้ามานับไม่ถ้วน แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าใจเรา ถ้าเรากำหนดความคิดความรู้สึกได้ไม่ปล่อยให้เผลอไผลไปตามอารมณ์อันอ่อนไหว เราก็จะสามารถควบคุมความรู้สึกไม่ถูกกระทบและ
สั่นคลอนได้ง่ายๆ ตามสิ่งแวดล้อมหรือบรรทัดฐานที่คนอื่นวางไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น