27 กันยายน 2554

14. ตามล่่าเสาโทริ

     ตอนบ่ายเราไปเที่ยวศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเกียวโตมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนั่นก็คือเสาโทริสีส้มนับหมื่นต้น และยังเป็นที่ถ่ายทำฉากหนึ่งในหนังเรื่องเกอิชาอีกด้วย ศาลเจ้านี้เป็นผู้นำศาลเจ้าทั้งหมดที่บูชาเทพเจ้าอินาริ (Inari) เทพเจ้าแห่งข้าวและสาเก ซึ่งมีถึง 40,000 ศาลเจ้า มีตัวแทนเป็นรูปปั้นหมาจิ้งจอก
พันผ้ากันเปื้อนสีแดงคาบกุญแจของยุ้งฉางข้าว ซึ่งถือเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ถ้าเห็นรูปปั้นหมาจิ้งจอกที่ไหนก็เดาได้เลยว่าศาลเจ้านั้นๆ นับถือเทพเจ้าอินาริ ในปัจจุบันเทพเจ้าอินาริได้รับการนับถือจากนักธุรกิจที่มักจะมาขอพรให้มีความเจิรญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ วัดนี้จึงได้รับเงินบริจาคและทำนุบำรุงโดยนักธุรกิจเหล่านั้น เสาโทริจำนวนมากก็ได้รับบริจาคจากคน
กลุ่มนี้ 





     บริเวณละแวกนี้มีอาหารขึ้นชื่อที่เป็นที่นิยมนั่นก็คืออุด้งราดด้วยเต้าหู้ทอดเพราะเป็นอาหารจานโปรดของเจ้าหมาจ้ิงจอก (แหมทานอาหารเพื่อสุขภาพนะเนี่ย เป็นหมาจิ้งจอกมังสวิรัติ
รึเปล่าก็ไม่รู้)
     เค้าบอกกันว่า (เค้าไหนก็ไม่รู้นะ) ถ้าสามารถเดินขึ้นไปถึงยอดเขาผ่านเสาโทริสีส้มสดจำนวนหมื่นต้นนี้ได้ล่ะก็ จะโชคดีตลอดทั้งปี มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราเดินดูรอบๆ วัด บริจาคเงินเล็กน้อย แล้วก็เดินไปยังทางเข้าที่จะนำไปสู่ยอดเขา ตอนนั้นยังไม่ได้คิดเรื่องจะเดินไปให้ถึงจุดสูงสุด เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการถ่ายรูปเสาสีส้มสวยที่มีมากมาย เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ลังเลว่าจะไปต่อดีมั้ย ไม่แน่ใจว่ามันจะไกลอีกซักแค่ไหน ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงในการเดิน เมื่อเดินมาถึงตรงจุดพัก เรานั่งหอบแฮ่กๆ คิดว่าจะหยุดตรงนั้น เพราะก็สูงพอที่จะเห็นวิวเมืองได้แล้ว แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่ว่าจะทำให้โชคดีตลอดทั้งปี ก็เป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้เราเกิดฮึกเฮิมขึ้นมา มีชายหนุ่มสองคนเดินกลับลงมาจากด้านบน ฉันจึงถามเขาว่ายอดเขานั้นต้องไปอีกไกลแค่ไหน เขาบอกว่าประมาณครึ่งชั่วโมงเดิน ในช่วงเวลานั้นเหมือนต้องตัดสินใจครั้งย่ิงใหญ่แต่เมื่อทบทวนดูว่าเราเคยเดินไปถึงยอดทักซังที่ภูฏานมาแล้ว ไม่น่ามีอะไรจะโหดไปกว่านั้นได้ ก็เลยตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมเดินต่อ



     เราเดินไปท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อยๆ มืดลง ในเว็บไซต์แนะนำศาลเจ้านี้บอกว่า การเดินขึ้นในช่วงเวลาเย็นนั้นเป็นช่วงที่ดีที่สุด จากที่เราตื่นเต้นกับเจ้าเสาโทริสีส้ม หยุดถ่ายรูปเพลิดเพลิน เมื่อสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กลับไม่อยากเห็นเสาอีกเลย เพราะนั่นหมายความว่า “ยังต้องไปต่ออีก ยังไม่ถึงนะ” เราเกือบท้อใจหลายรอบ แต่เสียดายเวลาและระยะทางที่ผ่านมา ถ้าตัดสินใจหันหลังกลับลงไปอาจเสียใจทีหลังเพราะระยะทางเหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น เราคิดแบบนั้นอยู่หลายรอบกว่าที่เราจะหอบสังขารขึ้นไปถึงยอดนั้นก็เกือบมืดสนิท มีศาลเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน มีเพียงมนุษย์ไม่กี่ชีวิตที่ขึ้นมาถึง ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ จึงขึ้นไปขอพรเทพเจ้าให้ประสบความสำเร็จ พบเจอแต่คนดีๆ สิ่งดีๆ ตลอดปีใหม่นี้


     ไม่อยากจะคิดเลยว่าเราต้องใช้เวลาอีกแค่ไหนในการเดินกลับลงไปด้านล่าง ฟ้าเร่ิมมืดสนิท ไฟจากตะเกียงตามเสาโทริมีเพียงเลือนลาง เรามุ่งหน้าเดินลงอย่างเดียว ไม่หยุด ไม่พูดคุย 
ขาลงดูเหมือนจะเร็วกว่าขาขึ้น แต่ก็เหนื่อยและปวดขาไม่แพ้กัน ในที่สุดเราก็ลงมาถึงด้านล่างจนได้ บริเวณวัดเริ่มมีร้านมาจัดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในคืนนี้


     เรารอรถเมล์อยู่นานมากเพราะรถสายนี้วิ่งไม่ถี่ จึงตัดสินใจไปขึ้นเจอาร์แทน ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็กลับไปถึงสถานีเกียวโต เราแวะเดินเล่นใน Porta ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใต้สถานีรถไฟเกียวโต เป็นแหล่งรวมทุกอย่าง สามารถซื้อหาของฝาก เสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ รวมทั้งของกิน ร้านอาหาร คาเฟ่มากมาย แต่โชคไม่เข้าข้างเรา วันนี้ร้านส่วนใหญ่ปิดสองทุ่ม คงเพราะเป็นวันสุดท้ายของปี เราจึงต้องเดินตากลมหนาวกลับโรงแรมโดยแวะซื้อแซนวิชและบะหมี่จากลอว์ซัน (Lawson) ไปกินกันตาย แต่จะว่าไปของที่ขายในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น Family mart, Lawson หรือ 7 Eleven นับว่ามีคุณภาพดี แถมบางทีมีของหน้าตาแปลกๆ อาหารก็รสชาติดีใช้ได้ สามารถฝากผีฝากไข้ เอ้ย… ฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ได้ ทำให้ชีวิตสะดวกใช้ไปได้มาก 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น