20 กันยายน 2554

7. วัดกับธรรมชาติบำบัด

     เดินทอดน่องชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย เพื่อไปยังจุดมุ่งหมายถัดไปนั่นก็คือ วัดเอคันโด (Eikando Temple) หรือชื่อดั้งเดิมคือ เซนรินจิ (Zenrin-ji Temple) วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี แต่ที่เห็นในปัจจุบันนั้นได้รับการก่อสร้างใหม่เนื่องจากถูกทำลายลงถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครั้งแรกคือระหว่างสงครามโอนิน และอีกช่วงหนึ่งคือช่วงที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศให้ศาสนาชินโตเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธและศาสนสถานต่างๆ จึงไม่ได้รับการทำนุบำรุงหรือถึงขั้นถูกทำลายลงหลายแห่ง แต่หลังจากนั้นพระที่ประจำที่วัดก็ได้ช่วยกันคนละไม้ละมือสร้างวัดขึ้นมาใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ
     ตัววัดมีบริเวณค่อนข้างกว้างขวางและเหมือนวัดอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีต้นไม้มากมายโดยเฉพาะต้นเมเป้ิลซึ่งเป็นจุดเด่นของสวนภายในบริเวณวัด ต้องเสียค่าเข้าชม 
600 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 400 เยน สำหรับเด็ก สามารถถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก 
ห้ามถ่ายสถาปัตยกรรมภายใน



     เราเดินเข้าไปภายในบริเวณตัววัดซึ่งเขาจะมีรองเท้าที่ใช้สวมภายในให้เปลี่ยน มีทางเดินที่เดินต่อไปชมวัดในหลายๆ ส่วน มีพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระมิเกริ อมิดะ (Mikaeri Amida) หรือเป็นปางหนึ่งของพระอมิตาบะ  (Amitaba) (พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาพุทธสาย Pure land) ซึ่งมีลัษณะในการโพสต์ท่าแทนที่จะมองตรงมาด้านหน้าเหมือนรูปอื่นๆ กลับหันซ้ายไปมองทางด้านหลัง ซึ่งตามตำนานนั้เชื่อกันว่าในระหว่างการทำวัดของพระรูปหนึ่งนามว่า โยกัน (Yokan  หรือมักเป็นที่รู้จักกันในนาม เอคัน (Eikan) นั้น พระมิเกริ อมิดะ ได้เสด็จ
ดำเนินเยื้องกายไปยังด้านหน้า ทำให้พระเอคันตื่นตระหนกและไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ พระมิเกริ อมิดะ จึงได้เปล่งวาจาออกมาว่า “ตามเรามา” ภาพนั้นเป็นภาพประทับใจทำให้พระเอคันอยากจดจำและเก็บเอาไว้ จึงเป็นที่มาของปางหันซ้ายนี้ ซึ่งถ้าจะแปลความหมายแล้วนั้น ก็คงแปลได้ว่าเป็นการหยุดรอผู้ที่เดินตามหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาต่อผู้คน
     อีกส่ิงหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ บ่อน้ำซุยคินคันซึ (Suikinkutsu) เป็นบ่อน้ำที่ทำไว้เพื่อสร้างเสียงอย่าเพิ่งงง คือว่าบ่อน้ำนี้จะถูกดีไซน์ไว้โดยขังน้ำไว้ด้านล่าง ส่วนด้านบนจะมีไม้ไผ่เรียงกันตรงปากบ่อ เพื่อให้คนที่มาเยี่ยมชมวัดตักน้ำและเทลงไปตามร่องไผ่ เมื่อน้ำที่เทลงไปกระทบกับน้ำด้านล่างจะเกิดเสียงสะท้อน แต่อย่าเทโครมๆ นะ ต้องค่อยๆ เท ใช้สมาธิกับการเทน้ำและเงี่ยหูฟัง จะได้ยินเสียงแปลกๆ ไพเราะคล้ายๆ เสียงพินของญี่ปุ่น เสียงของธรรมชาติมักเป็นเสียงที่สวยงามไร้การปรุงแต่ง ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แถมยังอาจทำให้จิตใจมนุษย์อ่อนโยนลง 




     เราสามารถเดินต่อขึ้นไปด้านบนเนินเขาที่มีเจดีย์ทาโฮโต (Tahoto Pagoda) ตั้งอยู่ 
ซึ่งจะสามารถมองลงมาเห็นวิวสวยของเมืองเกียวโตได้




     วัดต่อไปที่เราไปเยี่ยมชมคือวัด นานเซนจิ (Nanzenji Temple) เป็นวัดเซนที่สำคัญ 1 ใน 5 ของวัดเซนสาย รินไซ (Rinzai Zen) ศาสนาพุทธนิกายเซนนั้นมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะตรัสรู้ได้เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าถ้าสามารถขจัดความโง่เขลาเบาปัญญาออกไป ซึ่งจะเน้นการนั่งสมาธิหาใช่การท่องจำพระไตรปิฏกหรือการประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องการตั้งคำถามเพื่อให้ถามตอบซึ่งจะนำไปสู่การหยั่งรู้ในหลักความจริงทั้งหลาย นิกายเซนนั้นได้รับการเผยแพร่จากประเทศจีนและมีอิทธิพลไม่เพียงแต่ด้านศาสนาแต่ยังลามไปถึงวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนภาพด้วยหมึก การจัดสวน พิธีชงชา การเขียนอักขระ หรือแม้แต่ยุทธศาสตร์ในการรบ ทำให้ในสมัยก่อนนั้นนักบวชมีอิทธิพลด้านการปกครองและวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
      ด้านหน้าทางเข้าวัดนั้นมีประตูขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ ซึ่งถือเป็นทางเข้าไปสู่ส่วนที่มีความศักดิสิทธิ์ เมื่อผ่านเข้ามาแล้วสองข้างทางจะเป็นสวนมีต้นไม้ปลูกเรียงรายนำไปสู่ตัววัดด้านใน ภายในบริเวณมีวัดย่อยๆ ถึง 12 วัด แต่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมเพียงไม่กี่แห่ง เราไปถึงตอนใกล้จะเย็นแล้ว แถมยังเป็นช่วงหน้าหนาวที่พระอาทิตย์ตกเร็ว อากาศจึงเริ่มเย็นขึ้นและเริ่มมืด เราเดินชมวัดไปตามทางเห็นสิ่งขัดตาอยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือ กำแพงสีส้มซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแน่ๆ แต่การสร้างเจ้ากำแพงนี้ขึ้นมามีเหตุผลสนับสนุนนั่นก็คือเพื่อนำน้ำจากเขตใกล้เคียงเข้ามายังตัวเมือง เลยกลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นของที่นี่ไป เออ บางทีคนญี่ปุ่นก็แอบเห่ออะไรที่เป็นตะวันตกเหมือนกันนะเนี่ย




     สำหรับทัวร์วัดในวันนี้ก็จบลงเพียงแต่เท่านี้ แต่ต่อมช้อปนั้นยังเต้นตุบตับอยู่เพราะยังไม่ได้ทำงาน แถมมีเวลาเหลืออีกเยอะ ฉันตัดสินใจไปเดินช้อปปิ้งแถวสถานีรถไฟเกียวโตเพราะมีที่ช้อปปิ้งด้านล่างชื่อ The Cube ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายเสื้อผ้าเครื่องประดับ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีความหนาระดับกันความหนาวต่ำกว่า 10 องศาได้ ทำให้ภูมิคุ้มกันต่อมช้อปของฉันทำงานได้ดี ไม่มีเงินกระเด็นออกจากกระเป๋าซักนิด มีห้างฯ ดังที่เชื่อมต่อกับสถานีอีกแห่งหนึ่ง “อิเซตัน” ซึ่งมีชั้นมากมายถึง 11 ชั้นเลยทีเดียว ขายของราคาแพงหูฉีก จึงต้องตัดอกตัดใจรอหลังปีใหม่ค่อยซื้อของ เพราะจะเป็นช่วงกระหน่ำเซลล์ของห้างต่างๆ
     คืนนี้เราซื้ออาหารกล่องจากอิเซตันกลับมาทานที่โรงแรม ใช่ว่าจะถูกนะ สลัดผัก 800 เยน ปลาชุบแป้งทอด 800 เยน หมูทอดกับข้าว 800 เยน สรุปว่ามื้อนี้ 2,400 เยน ประมาณ 
800 กว่าบาท คืนนี้นอนเร็วหน่อย เพื่อจะได้ตื่นแต่เช้าไปเที่ยวนาราในวันรุ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น