16 กันยายน 2554

3. ปราสาทสำคัญ

     เช้าวันแรกที่ญี่ปุ่น เราตื่นสายเล็กน้อย ตื่นขึ้นมาก็ 8 โมงเช้าแล้ว อาจเป็นเพราะฉันนอนหลับไม่สนิทนักเนื่องจากแปลกที่ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่สายมากถ้าคิดว่าที่ประเทศไทยเพิ่งจะ 
6 โมงเช้า ต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย เพราะญี่ปุ่นเวลาเดินเร็วกว่าประเทศเรา 2 ชั่วโมง สำหรับคนตื่นเช้าเป็นกิจวัตรไม่น่ามีปัญหา แต่สำหรับนกตื่นสายอย่างฉันก็เลยสลึมสลืม
เป็นธรรมดา
     เนื่องจากโรงแรมคุราโมโตไม่มีอาหารเช้ารวมอยู่ในค่าห้องพัก เราจึงซื้ออาหารเบาๆ จาก 
7 Eleven มาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน คือโยเกิร์ตและกาแฟสำเร็จรูปที่อยู่ในถ้วย ที่นี่ร้านสะดวกซื้อนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนโดยเฉพาะเรื่องการกิน มีเครื่องดื่ม ขนม อาหารให้เลือกมากมาย ฉันรู้สึกว่าเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นนั้นมีความหลากหลายมาก เอาแค่เครื่องดื่มกาแฟนั้นก็มีมากมายหลายยี่ห้อทั้งร้อนเย็น อยู่ในแพคกิ้งหลายแบบ ดีไซน์สวย และให้ความสะดวกในการบริโภคมาก ยกตัวอย่างเครื่องดื่มกาแฟเย็นที่เรามักซื้อดื่มกันเป็นประจำนั้นอยู่ในถ้วยที่ทำจากกระดาษเคลือบ มีหลอดติดอยู่ด้วยซึ่งเป็นหลอดที่ยืดหดได้มีฝาปิดด้วยฟลอยด์และครอบด้วยพลาสติกใสอีกที เราสามารถใช้หลอดเจาะจากด้านบนได้เลย ไม่หกเลอะเทอะแถมรสชาตินั้นเข้มข้นคล้ายกาแฟเย็นที่ซื้อตามร้าน เดาว่าน่าจะเป็นเครื่องดื่มขายดี เพราะขนาดร้านกาแฟชื่อดังจากฝั่งอเมริกายังผลิตในรูปแบบสำเร็จรูปขายเช่นกัน แถมมีให้เลือกหลายรสชาติอีกด้วย ราคาตกประมาณ 160 เยน (ประมาณ 60 บาท​)  นอกจากนี้พวกเครื่องดื่มบำรุงกำลังก็มีเยอะแยะ แต่อีกประเภทหนึ่งที่เราให้ความสนใจกันมาก เนื่องจากมีเพื่อนที่เพิ่งมาเที่ยวญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นแนะนำก็คือ เครื่องดื่มบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความสวยว่างั้นเถอะ เครื่องดื่มชนิดนี้จะอยู่ในรูปแบบขวดขนาดจิ๋ว และขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วๆไป ไม่ใช่ร้านขายยา หรือเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์ เรียกว่าสวยได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง สนนราคาประมาณ 250 เยน (ประมาณ 96 บาท) สามารถดื่มได้ทุกวัน ซึ่งเราก็อยากทดลองดูเหมือนกันว่ามันจะช่วยให้เราหน้าเด้งขึ้นได้บ้างมั้ยในระยะเวลา 10 กว่าวันที่อยู่ที่นั่น เจ้าขวดจิ๋วนี้จึงเป็นหนึ่งในกิจวัตรการบริโภคประจำวันของเราในทริปนี้ (อนุญาตให้ลอกเลียนแบบได้)
     นอกจากพวกเครื่องดื่มแล้ว ขนมหน้าตาดีก็มีนำเสนอให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างไม่ห่วงเรื่องความอ้วนกันเลย พวกคัสตาร์ดมีรสชาติต่างๆ เช่น วานิลา ช้อคโกแล๊ต กาแฟ ชาเขียว รสชาติก็อร่อยดี สำหรับอาหารหนักก็มีให้เลือกไม่น้อย พวกข้าวกล่องต่างๆ ข้าวหน้าหมูทอด ข้าวปั้นไส้ต่างๆ หรือแม้แต่โอเด้ง อาหารสำหรับฤดูหนาวก็ต้มร้อนพร้อมจิ้มกินได้สะดวก
     เมื่อท้องอิ่มเท้าก็พร้อมออกเดินทาง โปรแกรมสำหรับวันนี้เราจะไป “ปราสาทโอซาก้า” กันก่อนเป็นที่แรก โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปเพียงไม่กี่ป้าย ลงที่ป้ายชื่อ Tanimachi Chome 4 เมื่อลงมาแล้วก็จะต้องเดินต่อไปอีกนิดนึง จะเจอกับสวนสาธารณะที่โอบล้อมตัวปราสาทไว้ ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง แถมยังมีคลองรอบๆ บริเวณปราสาทอีกด้วย วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นจัดแต่ด้วยแสงแดดที่ค่อนข้างแรงทำให้เราอุ่นขึ้นได้บ้าง มีคนมาวิ่งออกกำลังกาย พาสุนัขมาเดินเล่น หรือคุณแม่เข็นรถพาลูกออกมาเจอแสงแดด มีนักท่องเที่ยวพอประมาณ ครึ่งหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น
     ปราสาทโอซาก้า สร้างโดย ​ฮิเดโยชิ โตโยโตมิ (Hideyoshi Toyotomi) เป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ผู้ซึ่งรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น เขาเป็นลูกชาวนาแต่ด้วยความสามารถก็พัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นมามีตำแหน่งใหญ่โตและปกครองเขตหลายเขตในประเทศ ปราสาทถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นปราการป้องกันเมืองเกียวโตในด้านทิศตะวันตก เมื่อตอนสร้างเสร็จนั้นถือเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในประเทศไร้ใครเทียมทานแต่ภายหลังเมื่อ ฮิเดโยชิ เสียชีวิตลง อิเอยาสุ โตกุกาว่า (Ieyasu Tokugawa) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นโชกุนก็ได้พยายามกำจัดฮิเดโยริ (Hideyori) ลูกชายของฮิเดโยชิ  ทำให้ตัวปราสาทถูกทำลายลงระหว่างสงครามฤดูหนาว (The Winter war of Osaka) และฤดูร้อน (The Summer war of Osaka) ปราสาทในปัจจุบันจึงไม่ใช่ปราสาทดั้งเดิมหากแต่เป็นเพียงปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตามแบบเดิมเท่านั้น
     ภายในปราสาทตอนนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 600 เยน ภายในมีทั้งหมด 8 ชั้น แนะนำว่าให้ขึ้นไปชั้นบนสุดก่อนแล้วค่อยๆ เดินชมจากด้านบนลงมา เราสามารถขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้น 5 ได้ และต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกหน่อย แต่การจัดระเบียบที่นี่ค่อนข้างดี เพราะบันไดขาขึ้นและขาลงนั้นอยู่แยกกัน ไม่ต้องเดินเบียดหรือสวนกัน
     ด้านบนสุด (ชั้น8 ) นั้น เป็นชั้นชมวิวเมืองโอซาก้า เราสามารถเห็นตึกสูงๆ ไปไกลลิบ และมีแผนที่บอกจุดที่สำคัญต่างๆ ในแต่ละทิศ เมื่อเดินลงมาชั้น 7  ก็จะเป็นเรื่องราวอัตชีวประวัตของ ฮิเดโยชิ ซึ่งมีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจเพราะเป็นการใช้ภาพวาดและการถ่ายภาพคนจริงๆมาผสมผสานใช้เทคนิคให้ดูกลมกลืนคล้ายจริง มากๆ และมีเสียงอธิบายประกอบในแต่ละฉาก น่าสนใจมาก ชั้นถัดมานั้นก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามฤดูร้อน ส่วนชั้นที่ฉันสนใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็นชั้นที่แสดงชุดซามูไร มีอยู่หลายชุด ดูสวยและขลังมาก บางชุดก็มีสีดูน่ากลัว คงสร้างความเกรงขามให้แก่คู่ต่อสู้มิใช้น้อย แต่ละชุดมีนำ้หนักค่อนข้างมาก บางชุดหนักถึง 
5.5 กิโลกรัมเลยทีเดียว แค่ชุดอย่างเดียวก็คงทำให้การเคลื่อนไหวลำบากมากแล้ว ซามูไรเหล่านี้คงต้องมีร่างกายแข็งแรงมากๆ อีกชั้นที่น่าสนใจคือชั้น 2 เพราะเราสามารถแต่งตัวลอกเลียนแบบคนโบราณได้ มีชุดต่างๆ รวมทั้งชุดกิโมโนให้บริการลองใส่และถ่ายรูป คิดค่าบริการต่อชุด ต่อครั้งคือ 300 เยน เป็นที่สนุกสนานของเด็กๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น