26 กันยายน 2554

13. วัดเล็ก ... วัดน้อย

     เมื่อเดินรอบๆ สวนแล้ว ตรงไปยังทางออกอีกด้านหนึ่งจะสามารถเดินลัดเลาะป่าไผ่เพื่อไปเที่ยวยังที่ต่อๆ ไปได้ ป่าไผ่นี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะเดินลอดกัน ตรงกลางเป็นถนนเล็กๆ สองข้างถูกโอบล้อมด้วยต้นไผ่สูงลำต้นสีเขียวสดโบกไหวเมื่อยามต้องลมเสียดสีกันส่งเสียงเหมือนเสียงดนตรี ถ้าแวะมาแถวนี้แล้วไม่ได้เดินลอดป่าไผ่ก็เหมือนว่ามาไม่ถึง


     เดินต่อไปไม่นานนักเราก็มาถึงวัด โจแจกโคจิ (Jojakkoji) วัดเล็กๆ ที่อยู่บนภูเขาโอกุระ (Ogura) อายุกว่า 400 ปีแล้ว ต้องเสียค่าเข้า 200 เยน ตอนที่เราไปถึงนั้นไม่มีผู้คนเลย 
แต่เราก็เข้าไปชมอยู่ดีซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกเพราะฉันชอบในความสวยแบบน่ิงๆ ไม่โฉ่งฉ่าง เหมือนต้องเข้าไปค้นหาถึงจะเจอของดี ต้นไม้ที่ปราศจากใบเขียวมีเพียงก่ิงก้านที่ยังยืนหยัดท่ามกลางอากาศหนาวรอคอยการผลิใบอีกครั้ง อยู่ด้วยกันอย่างลงตัวกับวัดเล็กๆ และสวนน้อยๆ ที่ทางวัดดูแลไว้อย่างดีทำให้มีสีเขียวแซมอยู่บ้างพอมีชีวิตชีวา 




     เราเดินต่อมายังด้านล่างที่ผ่านบ้านเรือนผู้คน เป็นบ้านไม้แบบโบราณ ดูสวยเก๋ มีสไตล์ และถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี เดินตัดผ่านซอยเล็กๆ ที่จะนำเราไปสู่ตัวเมือง ก็พบศาลเจ้าเล็กๆ 
โนโนมิยะ (Nonomiya Shrine) ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่แปลกแตกต่างจากศาลเจ้าอื่นก็สังเกตุได้ตั้งแต่ทางเข้าเลย เพราะเสาโทริที่นี่เป็นสีดำ ไม่เหมือนที่อื่นที่มักเป็นสีส้ม เป็นที่สถิตของเทพเจ้าหลายองค์ เน้นเรื่องการให้พรเรื่องคู่และการคลอดลูก ในสมัยก่อนเจ้าหญิงจะต้องถูกส่งตัวมาอยู่ที่ศาลเจ้านี้และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะรับหน้าที่เป็นพระระดับสูงที่ศาลเจ้าอิเซ่ (Ise Shrine) ศาลเจ้าโนโนมิยะแห่งนี้ยังปรากฏอยู่ในนิยายเรื่องเกนจิอีกด้วย
     ภายในบริเวณด้านในนั้นในส่วนด้านซ้ายมือมีหินสีดำวางอยู่ เชื่อกันว่าถ้ามาสวดมนต์ขอพรและได้สัมผัสหินก้อนนี้ความปรารถนาที่ตั้งใจมาขอก็จะเกิดผลขึ้นจริง เห็นมีคนเขียนขอพรบนแผ่นป้ายไปแขวนไว้มากมาย รูปแบบหนึ่งที่เป็นแบบเฉพาะเจาะจงของที่ศาลเจ้านี้คือรูปวาดของเจ้าหญิงและรถแห่ซึ่งเป็นตอนหนึ่งที่ปรากฏในนิยายเรื่องเกนจิ




     เราเดินกลับลงมาจากเนินเขาเพื่อไปหาอะไรทานตรงใจกลางเขต ระหว่างที่เดินออกจากซอยเล็กๆ ก็เหลือบไปเห็นขนมหน้าตาแปลกๆ ดูน่าทาน เป็นขนมเผือกและมันบดทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ทอดให้ร้อนบนเตา ขายเป็นชุดคู่กับน้ำเต้าหู้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ขนมหมดไปอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายเราอบอุ่นขึ้นมาก เราไปหาอาหารทานแถวๆ สถานีรถไฟ ฉันทานโซบะเย็นมากับปลาแห้งๆ ทั้งตัว รสชาติหวานๆ แปลกลิ้นดี ส่วนพี่ตุ๊กผู้ไม่พิสมัยการลองของแปลกจึงสั่งคัทซึด้งกุ้ง หลังจากนั้นเราก็ไปทานขนมหวานต่อที่ร้านข้างๆ “Matcha Parfait” ซึ่งเป็นการรวมขนมญี่ปุ่นไว้ในถ้วยเดียวกัน ตั้งแต่ไอสกรีมชาเขียว ขนมโมจิถั่วแดงบด และเค้กชาเขียว นับว่าเป็นความอร่อยอีกรูปแบบหนึ่ง ประมาณว่าเราจะลองทานขนมชาเขียวไปทุกย่านเพื่อคัดให้เข้ารอบว่าใครจะอร่อยเด็ดที่สุด แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนเฉือนกันไม่ลง เพราะแต่ละที่ก็มีลีลาไม่แพ้กัน สรุปว่าคนได้เปรียบคือนักท่องเที่ยวนั่นเอง ดูเหมือนว่าฉันค่อนข้างจะทานมากกว่าปกติเวลาที่เดินทางท่องเที่ยว คงเป็นเพราะว่าไม่ต้องมีความกังวลอะไรมาก ปล่อยตัวตามสบาย แถมต้องเดินเยอะอากาศก็หนาว เลยมีข้อแก้ตัวให้ได้ทานได้เยอะกว่าปกติหน่อย


     เราตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับโดยรถไฟเจอาร์เพราะไหนๆ ก็มีตั๋วอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ารถเมล์แถมยังประหยัดเวลากว่า สถานีเจอาร์นั้นอยู่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนเพราะต้องเดินเข้าซอยไปลึกทีเดียวอาจจะทำให้เปลี่ยนใจได้ระหว่างทางเพราะนึกว่าหลง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น