16 เมษายน 2554

10. หญิงไทยใจร้าย

     วันรุ่งขึ้นฉันถือโอกาสไปเที่ยวเองเพราะไม่อยากรบกวนจูเกชหรือคนในครอบครัวเขามากจนเกินไป เลยตัดสินใจไปเมืองภักตาปูร์เพราะว่าไปง่ายดีแถมยังคุ้นเคยเพราะไปมาแล้ว
     ภักตาปูร์ในปีค.ศ 2000 ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่ฉันเคยมาเยือนเท่าไหร่ ฉันเดินเข้าเมืองไปด้วยความคุ้นเคย รู้แล้วว่าอยากจะไปเยี่ยมชมอะไรบ้าง


     “คุณครับ คุณครับ” เสียงเรียกดังจากข้างหลังของฉัน
     เมื่อหันกลับไป ความรู้สึกเดิมๆ ที่คุ้นเคยเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็กลับมาอีกครั้ง
     “สวัสดีครับ ผมเป็นนักเรียนแล้วก็ทำหน้าที่ไกด์เพื่อหาเงินเรียน ผมสามารถพาคุณเดินรอบๆ เมืองภักตาปูร์ แวะเยี่ยมชมตรอกซอกซอยให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่อย่างที่นักท่องเที่ยวคนอื่นไม่ได้เห็น คุณสนใจให้ผมพาไปเที่ยวมั้ยครับ ถ้าคุณพอใจก็ค่อยให้เงินผมเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่คุณ” 
     ประโยคเดิมๆ เหมือนที่ฉันเคยได้ยินมาแล้ว ยังไม่พอ หน้าเดิมๆ หน้านั้นทำให้ฉันจำประโยคเหล่านั้นได้ดี
     เวลาผ่านไปตั้งหลายปีแล้วแต่ฉันย้อนกลับมาเจอหนุ่มน้อยคนเดิมคนนี้ได้ยังไง มันเป็นเรื่องน่าแปลกเหมือนกับว่าเรามีกรรมที่ทำร่วมกันฉันเลยต้องวนเวียนกลับมาชดใช้ให้กับเขาอีกครั้ง
     ความรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ครั้งที่แล้วยังคงอยู่ในใจฉัน ทำให้ฉันต้องพยายามปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ
     “ไม่เป็นไร ฉันเคยมาที่นี่แล้วเดินเที่ยวเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ฉันตอบเขาไปพร้อมกับออกเดินไปข้างหน้า
     “แต่ผมสามารถพาไปตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวไม่รู้จักได้นะครับ” เขาไม่ละความพยายามโฆษณาจุดขายของตัวเองขณะที่เดินตามฉันมาติดๆ
     “ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันเคยมาแล้ว แล้วก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับที่นี่มาแล้วด้วย ไม่ต้องมีใครพาเดินก็ได้ อยากค่อยๆใช้เวลาเดินดูนู่นดูนี่คนเดียวน่ะ” ฉันเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
     เขายังไม่ละความพยายาม เดินตามฉันไม่ปล่อยให้คลาดสายตาคงกลัวถูกแย่งลูกค้า แต่มันทำให้ฉันเกิดความกลัวนอกเหนือไปจากความรำคาญ ฉันก็เลยเดินไปหยุดนั่งตรงหน้าประตูทอง โดยมีเขายืนจ่ออยู่ข้างหน้า                  
     “ช่วยปล่อยฉันไว้คนเดียวได้มั้ย เพราะฉันเริ่มหงุดหงิดแล้ว ถ้าคุณยังตามฉันอยู่แบบนี้ฉันจะเดินไปแจ้งตำรวจว่าคุณคุกคามฉัน” ฉันพูดกับเขาด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมกับทำหน้าพยักพเยิดไปทางตำรวจที่ยืนอยู่แถวๆ นั้น 
     “ทำไมคุณต้องทำกับผมอย่างนี้ด้วย ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณซักหน่อย” เขาทำหน้าแหยเหมือนโดนทำร้าย                                    
      เป็นงั้นไป ... ฉันต่างหากที่โดนตามตื้อไม่ยอมปล่อยให้มีความเป็นส่วนตัว
      “ก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่ฉันจะนั่งอยู่ที่นี่แหล่ะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะไป เลือกเอาเองแล้วกันว่าคุณจะไปดีๆ หรือจะให้ฉันไปบอกตำรวจให้มาไล่คุณไป”
     คำพูดของฉันนับว่าได้ผลเกินคาด เพราะเขาเดินจากไปโดยไม่ย้อนกลับมาอีก นับว่าเป็นการประสพความสำเร็จครั้งแรกในการป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกเงิน 
     แต่ความจริงคิดไปคิดมามันก็อาจจะฟังดูโหดไปหน่อยเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกที่ไปขู่กันโชกเขาแบบนั้น ช่วยไม่ได้สัญชาตญาณของการป้องกันตัวเองมักจะถูกสูบฉีดออกมาเวลาที่เข้าตาจน รู้สึกว่าบางทีเราต้องตัดสินใจพูดหรือทำอะไรที่เด็ดขาดบ้าง ไม่งั้นเราก็ต้องทนเออๆ ออๆ ไปกับอะไรบางอย่างที่เราไม่อยากให้เกิดหรือไม่ได้เลือกเอง
     หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกสองอย่าง
     หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองสามารถหาวิธีเอาตัวรอดได้เวลาที่ต้องเดินทางคนเดียว
     สอง รู้สึกว่าคนเนปาลนั้นยังไงซะก็ไม่ร้ายกาจเท่าเรา ถ้าต้องเดินทางไปเที่ยวคนเดียวก็ไม่ต้องกลัว แต่เป็นคนที่นั่นต่างหากที่ต้องกลัวเรา ... เพราะเราร้ายกาจกว่าเค้าเยอะ




     ฉันได้ใช้เวลาอย่างเติมที่ในการเดินเที่ยวชมเมืองภักตาปูร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีตทุกครั้งที่ไป มองซ้ายมองขวาทุกอณูเต็มไปด้วยวัฒนธรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมโบราณอย่างหาดูได้ยาก 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น