17 เมษายน 2554

11. แต่งงานมาราธอน

     ค่ำวันนี้ที่บ้านจูเกชจะมีงาน (อีกแล้ว)
     ฉันแวะไปตอนเย็นๆ น้องสาวของจูเกช “นีจารา” ( Nigara ) เลยพาฉันไปหาซื้อกำไลและติก้า (สติ๊กเกอร์ที่ติดตรงหน้าผาก เป็นแฟชั่นของผู้หญิงที่นั่น) ที่ตลาดใกล้ๆ บ้าน ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ มีกำไลหลากสีสวยให้เลือกซื้อ เป็นร้านแบบพื้นเมืองจริงๆ ราคาจึงแสนถูก กำไลที่นี่เขาขายเป็นโหล โหลละไม่กี่สิบบาทแล้วแต่แบบ ส่วนใหญ่เป็นกำไลแก้วไม่เหมือนที่อินเดียที่เป็นเหล็กทำให้แตกหักได้ง่าย ต้องเก็บด้วยความระมัดระวัง มีเคล็ดลับการใส่ง่ายๆ ก็คือใส่ทีละ 
2-3 อัน อย่าใส่มากกว่านั้นเพราะจะใส่ยากและอาจแตกหักระหว่างใส่ได้ ส่วนติก้านั้นก็มีหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่ขายเป็นแผงแผงนึงก็มีหนึ่งแบบแต่มีหลายสี เลือกติดได้ตามสีของส่าหรี (หรือเสื้อ) ที่ใส่ในแต่ละครั้ง สมัยใหม่สาวๆ นิยมติดกันแทนที่ผงติก้าแบบดั้งเดิม


     พอตกค่ำ ทางบ้านของริซ่าซึ่งมีคุณพ่อและพี่น้องก็เดินทางมาที่บ้านจูเกชเพื่อเอาของขวัญมาให้ แต่วัตถุประสงค์หลักของพิธีก็คือเพื่อดูว่าลูกสาวมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่ มีความสุขดีมั้ย คนที่บ้านสามีให้การต้อนรับอย่างดีรึเปล่า ของที่นำมาให้ก็ประกอบไปด้วย ขนม ผลไม้มงคลต่างๆ รวมทั้งเค้กหนึ่งก้อน (เหมือนวันที่ทางบ้านจูเกชเอาไปให้บ้านเจ้าสาวเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น) พ่อริซ่านำข้าวของเครื่องใช้เครื่องประดับมาให้ลูกสาวเพ่ิมเติม ซึ่งในค่ำคืนนั้นริซ่าก็แต่งตัวด้วยส่าหรีสีแดงเหมือนกับเมื่อวันแต่งงาน


     พิธีน่าจะจบแล้ว แต่ยังไม่จบง่ายๆ ...
     วันถัดมาฉันไปเที่ยวเมืองปาตันอีกครั้งก่อนซึ่งยังคงไว้ซึ่งความประทับใจแบบเดิมๆ ในรูปแบบของสถาปัตยกรรม ความน่ารักของเมือง ความศรัทธาของผู้คนต่อศาสนา


     และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่จะมีงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของจูเกชกับริซ่า รวมทั้งซาราลาน้องสาวจูเกช ซึ่งจัดที่โรงแรมแห่งหนึ่ง งานนี้เป็นงานเลี้ยงของฝ่ายเจ้าบ่าว นั่นแปลว่าจะมีเฉพาะญาติและเพื่อนๆ ของฝั่งเจ้าบ่าวเท่านั้นที่ได้รับเชิญมางาน ส่วนซาราลาก็มางานคนเดียวโดยที่เจ้าบ่าวไม่ได้มา บ้านของริซ่าเองก็จะจัดงานเช่นนี้ฉลองให้เธอเช่นกัน​โดยที่จูเกชจะไม่ได้ไปร่วมงาน เรียกว่าบ้านใครบ้านมันผลัดกันฉลอง คนเหนื่อยคือบ่าวสาวและครอบครัว คนสนุกคือเพื่อนๆที่มาร่วมงาน โดยเฉพาะฉันที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะเลย
     พิธีแต่งงานของชาวเนปาลนั้นช่างมีมากมายหลายขั้นตอน นับคร่าวๆ ก็ปาเข้าไป 5 วันแล้ว นี่ไม่รวมที่ฉันไม่ได้ไปร่วมด้วยนะ เช่นการไปวัดไหว้พระในเวลาเช้าตรู่ของบ่าวสาว เรียกว่าแต่งทีจำไปอีกนาน คงไม่อยากแต่งกันบ่อยๆ สำหรับคนเมืองก็อาจจะข้ามขั้นตอนอะไรบางอย่างไปบ้าง แต่คนบางเชื้อสายที่อาศัยอยู่ในชนบทนั้นมีพิธีรีตรองมากกว่านี้อีกหลายขั้นตอน คนไทยคนจีนว่ามีพิธีมากมายแล้วนี่ต้องชิดซ้ายยอมแพ้ชาวเนปาล 
      นับว่าการมาเนปาลในครั้งนี้ของฉันนอกจากจะได้พักผ่อนเที่ยวเล่นแล้ว ยังได้สร้างความผูกพันกับครอบครัวของจูเกชอย่างที่ไม่ได้คาดหวังไว้ ฉันว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตาและพรหมลิขิต จะมีใครซักกี่คนได้มาร่วมพิธีแต่งงานของชาวเนปาลกัน แล้วการที่ครอบครัวของเขาให้การต้อนรับฉันเหมือนเป็นคนในครอบครัวนั้นก็ถือได้ว่าเป็นบุญวาสนา จะว่าคนเนปาลใจดี มีอัธยาศัยดี ก็ว่าได้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนั้นมันเกินความคาดหวังไปมาก ความคิดกลัวบ้าๆ ในตอนที่จะเดินทางมานั้นมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีๆ ความเป็นกันเองและการปฏิบัติอย่างดีเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ทำให้ฉันลืมเรื่องราวทุกข์ใจไปอย่างปลิดทิ้งและยังได้แง่คิดอีกว่ายังมีคนที่เขามีความรู้สึกดีๆ และปรารถนาดีต่อเราอย่างจริงใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทนเพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรไปยึดติดกับอะไรหรือใครที่ทำให้เราทุกข์ใจ โลกยังมีสิ่งดีๆ ให้ค้นหาและคนดีๆ ให้เจออีกตั้งเยอะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น