14 เมษายน 2554

8. แสงอาทิตย์เปลี่ยนชีวิต

     เช้าวันรุ่งขึ้นตัวขี้เกียจต้องถูกแซะขึ้นจากที่นอนตั้งแต่ท่านสุริยะยังไม่ตั้งเค้าว่าจะเริ่มทำงาน แผนการเที่ยวของวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่ตี 4
     เราตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปยัง “ซารังก๊อต” (Sarangkot) ซึ่งเป็นภูเขาที่นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่นักปีนเขาตัวฉกาจนิยมขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเพราะเป็นจุดชมวิวที่สวยขาดใจ รถแล่นพาเราขึ้นเขาไปท่ามกลางความมืดมิดบรรยากาศเงียบสงัด ไม่สามารถบอกได้ว่ารอบตัวเป็นอะไร ซักพักรถก็หยุดจอดเพื่อให้เราลงและออกเดินต่อขึ้นไปยังจุดชมวิว เราต้องเดินแบบทุลักทุเลเพราะยังมืดอยู่มาก ไม่สามารถมองเห็นทางได้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ มันไม่เรียบเอาซะเลย แถมยังมีแต่เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีทางราบให้เดินสบายหรอก นับเป็นเหมือนกึ่งๆ การปีนเขาขนาดย่อมสำหรับฉัน นอกจากอากาศจะเย็นจัดมากแล้ว ความหนาแน่นก็ยังค่อนข้างน้อยทำให้ฉันหายใจลำบาก ระยะเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ทำให้เหนื่อยมาก หายใจไม่ทันต้องหยุดหอบแฮ่กๆ เป็นระยะๆ กว่าจะขึ้นไปถึงจุดชมวิวได้ฉันก็แทบแย่เหมือนกัน เพื่อนๆ ต่างถามเป็นระยะคงกลัวว่าฉันจะสลบเหมือดซะก่อน
     เมื่อขึ้นไปจนถึงจุดชมวิว ดูเหมือนเราเตรียมตัวมาอย่างดีเพราะเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึงที่นั่น (แน่ล่ะฟ้ามืดขนาดนี้ ใครจะขึ้นมากันล่ะ) เราหยุดรออยู่พักหนึ่งก็เริ่มเห็นแววของพระสุริยะที่จะกำลังจะเตรียมตัวออกทำงาน ผู้คนเริ่มมากันหนาตาขึ้น  แสงเริ่มสาดทอและเล็ดลอดออกมาจากทิวเขาที่ซ้อนกันอย่างสลับซับซ้อน ฉันจดจ้องทุกวินาทีที่ผ่านไปอย่างไม่อยากที่จะกระพริบตา ต้องบอกตามตรงว่าในตอนนั้นฉันไม่ใช่คนที่ชอบภูเขาเท่าไหร่นัก ด้วยความที่เกิดและเติบโตในเมืองร้อน เลยนิยมเที่ยวทะเลมากกว่า แต่ ณ เวลานั้นกลับเหมือนถูกมนต์สะกด แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ แย้มออกมานั้นเหมือนแสงแห่งชีวิต เหมือนการเร่ิมต้นอะไรใหม่ๆ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากอาการง่วงหงาวหาวนอนฉันกลับรู้สึกกระปี้กระเปร่าและตื่นเต้น ดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงตกกระทบกับทิวเขานั้นทำให้เทือกเขาหิมาลัย ดูยิ่งใหญ่ มีพลัง และดึงดูดทุกสายตาให้จดจ้องอยู่เช่นนั้น พร้อมกับการกดชัตเตอร์กล้องเพื่อบันทึกความสวยงามของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นฉันเคยเห็นแล้ว แต่จากโปสการ์ดซึ่งเป็นเพียงภาพน่ิงจึงดูกระด้างและไม่สร้างความรู้สึกอะไรที่เป็นพิเศษ นอกจากความสวยของธรรมชาติ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าฉันนั้นเป็นภาพที่ชัดมาก และสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับฉัน แสงอาทิตย์ที่เริ่มฉายแรงขึ้นเรื่อยๆ ให้พลังกับฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่าฉันเป็นแบตเตอรี่พลังแสงอาทิตย์ที่ถูกใช้งานจนพลังหมด แล้วตอนนี้ก็ได้มาชุบชีวิตอีกครั้ง นี่ถ้าฉันมีมือที่ยาวอีกนิดฉันคงอยากเอื้อมให้ถึงยอด “มัจฉาปุเร” (Machhapuchhare) ที่อยู่ตรงหน้า
     เมื่อพระสุริยะเผยโฉมออกมาจนเต็มดวงแล้ว ทุกคนเริ่มที่จะทะยอยกันกลับลงไป ส่วนฉันนั้นยังยืนตะลึงอยู่กับความสวยงามจนเพื่อนๆ พากันหัวเราะ
     “ท่าทางเธอคงชอบที่นี่มากเลยนะ เหมือนมองเท่าไหร่ก็ไม่เต็มที่ซะที” ซูนิมแซวฉัน
     “ใช่เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาหิมาลัยอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆ จากที่เคยชอบแต่ทะเล ตอนนี้เปลี่ยนใจหลงรักภูเขาซะแล้วสิ” ฉันบอกความรู้สึกให้เพื่อนๆ ฟัง พร้อมกับเก็บภาพความประทับใจดีๆ ตรงหน้าไว้ให้ได้ชัดเจนที่สุด


     เราเดินย้อนกลับลงไปยังที่ที่รถรออยู่ เมื่อสว่างแล้วจึงเห็นว่่าวิวแถวนั้นเป็นทางเดินขรุขระ นับว่าโชคดีที่ฉันไม่หกล้มหรือสะดุดหน้าคะมำ เพราะปกติขนาดเดินทางเรียบๆ ยังซุ่มซ่ามอยู่บ่อยครั้ง บนซารังก๊อตนี้มีหมู่บ้านเล็กๆ ผู้คนอาศัยกันอยู่ประปราย คนขับรถของเราได้สร้างความคุ้้นเคยกับชาวบ้านแถวนั้นเรียบร้อย จึงนั่งทานอาหารเช้าในบ้านอย่างเป็นกันเอง
     เราลงจากซารังกอตไปทานอาหารเช้ากันภายในสวนของร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีวิวด้านหน้าเป็นทะเลสาปเฟวาที่มีเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลัง ช่วงเช้าตรู่แบบนี้ผู้คนยังไม่คึกคักนัก บรรยากาศเลยบริสุทธิ์ปราศจากเสียงดังของผู้คนที่พายเรือกันขวักไขว่ในทะเลสาปเหมือนเมื่อวานนี้


     สายๆ เรากลับไปเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเพื่อกลับไปยังเมืองหลวง เวลาไปไหนหนแรกความรู้สึกของการเดินทางขากลับมักสั้นกว่าขาไปเสมอ สำหรับขากลับฉันหลับเกือบตลอดทางก็เลยรู้สึกว่าใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น