15 เมษายน 2554

9. วันสำคัญ

     วันนี้เป็นอีกหนึ่งในวันสำคัญ เพราะเป็น “วันแต่งงานของจูเกช”                  
     ฉันเตรียมตัวเรื่องการแต่งตัวอย่างดีตั้งแต่ก่อนไปโพคราแล้วคือไปเลือกซื้อส่าหรีสีแดงเพราะคิดว่าเป็นสีมงคลเหมาะกับการไปงานแต่งงาน แล้วอีกอย่างก็อยากทำตัวกลมกลืนกับชาวบ้านชาวเมืองเค้าบ้าง แต่แน่นอนว่าสีต้องไม่สดแข่งกับชุดเจ้าสาว เสื้อที่ใส่ด้านในต้องไปตัดต่างหากซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เห็นมีร้านเล็กๆ รับตัดอยู่ตรงใกล้ๆ โรงแรม ก็เลยลองใช้บริการดู ราคารึก็ย่อมเยา ส่วนใหญ่เสื้อด้านในมักเป็นสีที่เข้ากันได้กับสีพื้นของส่าหรีหรือสีของลายที่อยู่บนผืนส่าหรีนั้นๆ ฉันเลือกเสื้อตัวในสีแดงเฉดใกล้ๆ กันกับส่่าหรีที่เป็นพื้นสีเรียบจะมีลายเพียงแค่ตรงปลายเท่านั้น แหมพูดแล้วดูเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งส่าหรี จริงๆ แล้วต้องมีตัวช่วยเพราะมันไม่ได้ง่ายหรอกนะการจะพันผ้ายาวกว่า 5 เมตรบนตัวให้เป็นรูปทรงสวยงามอย่างที่เห็นเค้าเดินกันตามท้องถนน  ฉันต้องไหว้วานให้น้องสาวของจูเกชแวะมาช่วยแต่งตัวที่โรงแรมให้ก่อนที่จะออกเดินทางไปร่วมพิธีแต่งงานซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของริซ่าที่เมือง 
ปาตัน ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ไปร่วมงานจะใส่ส่าหรียกเว้นเด็กๆ ที่อาจจะใส่ชุดราตรีแบบสากล ส่วนผู้ชายก็จะใส่สูทสากล “คีริต” หนุ่มน้อยคนโปรดของฉันก็ใส่ชุดสูทสากลของเด็ก ดูน่ารักน่าชังมาก
     ส่าหรีที่ยาวรุ่มร่ามทำให้ฉันเดินเหินไม่ค่อยถนัดนักแถมยังดูขัดตากับผมที่ซอยสั้นและกล้องอันโต ที่ไม่ได้เข้ากับการแต่งกายเลยซักนิด รู้สึกแปลกแต่ก็พยายามทำตัวกลมกลืนกับแขกที่มาร่วมงาน
     พิธีจัดขึ้นที่ห้องโถงที่เมื่อหลายคืนก่อนครอบครัวจูเกชนำของหมั้นมาให้ริซ่า วันนี้มีแขกมากันค่อนข้างมาก ทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนๆของทั้งสองฝ่าย  รวมไปถึงคนที่จะทำพิธีกรรมทางศาสนา
     ไม่ช้าไม่นานพิธีก็เริ่มต้นขึ้น … จูเกชแต่งชุดสูทสากลสีเทาและสวมหมวกพื้นเมืองเนปาล ส่วนริซ่าใส่ชุดส่าหรีสีแดงสดปักด้วยดิ้นทอง ใส่เครื่องประดับสีทองอร่าม ทั้งที่ห้อยตรงหน้าผาก สร้อยคอ สร้อยข้อมือและกำไลเรียงตัวกันเกือบถึงข้อศอก นับว่าเป็นชุดแต่งงานที่สวยงามอลังการมาก
     พิธีเริ่มต้นขึ้นโดยที่ทั้งสองคนผลัดกันใส่มาลัยดอกไม้ให้อีกฝ่ายแล้วจึงสวมแหวนให้กัน ริซ่าก้มหน้าก้มตายิ้มเขินอายตลอดเวลา คงจะเป็นวัฒนธรรมของที่นี่ที่ผู้หญิงมักจะเป็นผู้ตามและไม่ค่อยแสดงออกมากนักเวลาอยู่ในสังคม นับเป็นอันเสร็จพิธีในช่วงต้น ทั้งสองมีโอกาสได้พักซักครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าพิธีในช่วงต่อไป จูเกชดูท่าทางมีความสุข อารมณ์ดียิ้มแย้มทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน จังหวะนี้เองที่ฉันได้ถ่ายภาพหมู่กับพี่ๆน้องๆ ของเขา



     หลังจากนั้นทั้งสองย้ายไปอีกห้องหนึ่งเพื่อประกอบพิธีกรรมขั้นตอนต่อไป โดยที่ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นห้อง (มีเบาะรองนั่ง) มีคนมาทำพิธีบูชาเทพเจ้าโดยใช้ดอกไม้ ข้าวสาร และขนม
     มีช่วงพักอีกหน่อยฉันเลยไปเดินเล่นโต๋เต๋ตรงบริเวณใกล้ๆ บ้านริซ่าแล้วก็กลับมาร่วมพิธีถัดไปนั่นก็คือการส่งเจ้าสาวออกจากบ้าน คราวนี้มีแต่ริซ่าที่ต้องผ่านพิธีกรรม พ่อแม่ของเจ้าสาวประกอบพิธีอวยพรและมอบเครื่องประดับต่างๆ ให้กับริซ่า ช่วงนี้ริซ่าใช้ผ้าปิดหน้าและร้องไห้เสียงดัง (เป็นส่วนหนึ่งของพิธี) เพราะเป็นเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้อยู่ที่บ้านหลังจากนี้ก็จะต้องออกไปอยู่บ้านสามีตลอดไป ในปัจจุบันบางคนก็เศร้าจริงๆ เพราะไม่อยากจากบ้านไป บางคนก็ร้องพอเป็นพิธี แต่ก็คงมีบางคนที่ร้องไห้ด้วยความดีใจเพราะจะได้มีอิสระ มีครอบครัวเป็นของตัวเองเสียที
     ก่อนที่ริซ่าจะเดินทางไปยังบ้านสามีนั้นต้องผ่านพิธีกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งก่อน นั่นก็คือพี่ชายจะแบกเธอไว้บนหลังและเดินวนรอบวัดที่อยู่บริเวณใกล้ๆ บ้าน คงจะให้เทพเจ้าประจำละแวกนั้นอวยพรให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข เป็นอันว่าจบพิธีทางบ้านฝ่ายหญิง
     หลังจากนั้นเจ้้าสาวจะเดินทางไปยังบ้านเจ้าบ่าว​เพียงเดียวดายไม่มีพ่อแม่หรือญาติตามไปด้วย โดยที่ทางครอบครัวเจ้าบ่าวได้เตรียมตัวต้อนรับไว้แล้ว พวกแขกที่มาในงานก็แยกย้ายกันกลับ มีแต่ฉันที่เป็นแขกรับเชิญพิเศษ ใครไปไหนก็หนีบฉันไปด้วย จริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าหรอก ให้ไปไหนก็ไป ไม่มีปฏิเสธ
     พิธีเริ่มตั้งแต่ก่อนก้าวเท้าเข้าบ้าน โดยจะมีของบูชาตั้งไว้ตรงหน้าบ้าน เช่น ดอกไม้ ข้าวสาร  เพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่โดยการโรยไปบนศีรษะ หลังจากนั้นก็จะไปทำพิธีด้านบนบ้านต่อโดยบ่าวสาวนั่งบนพื้นและสมาชิกที่อยู่ในบ้านจะเข้ามาอวยพรหลังจากนั้นจูเกชก็จะเอาติก้าสีแดงมาเจิมที่หน้าผากริซ่าเพื่อแสดงว่าทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว และเธอก็ก้มลงบนพื้นแทบเท้าจูเกชเพื่อแสดงความเคารพ ต่อจากนั้นทั้งสองจะทานอาหารมื้อแรกร่วมจานเดียวกัน (นี่คือครั้งแรกที่คนสองคนจะทานอาหารร่วมกัน) เมื่อเสร็จแล้วญาติผู้ใหญ่ก็จะนำของขวัญมาให้ เช่น ผ้า เสื้อผ้า หรือแม้แต่เงิน กว่าจะเสร็จพิธีจริงๆ ก็ใช้เวลานานเอาการ เพราะแต่ละขั้นตอนนั้นใช้เวลาค่อนข้างมาก แต่ทุกคนดูมีความสุขกันดีโดยเฉพาะบ่าวสาว


     เมื่อจบพิธีกรรมริซ่าก็เข้าไปอยู่ในห้องหอ (แต่ไม่เหมือนพิธีไทยที่มีการส่งตัวบ่าวสาวหลังจากนั้นก็จะไม่ออกมานอกห้องอีก) จูเกชให้ฉันเข้าไปอยู่ในห้องด้วย อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมิดีมิร้าย เขาให้ฉันเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนริซ่าในขณะที่ทุกคนเตรียมตัวจัดข้าวของและอาหารค่ำ ดูเหมือนว่าริซ่ายังมีความประหม่าและตื่นเต้นอยู่มาก เพราะเธอนั่งก้มหน้าก้มตาไม่ค่อยจะพูดอะไร ฉันถามอะไรไปเธอก็ตอบแต่พอประมาณดูสงวนท่าทีหรือไม่งั้นเธอก็คงระแวงสงสัยว่ายัยผู้หญิงหน้าตาประหลาดคนนี้เป็นใครมาจากไหน แล้วมาอยู่ในห้องหอของเธอได้ยังไง
     ฉันก็เลยแสดงความเฉิ่มเบ๊อะของตัวเองด้วยการให้ของขวัญกับทั้งสองคนที่ตั้งใจซื้อและหอบหิ้วมาจากเมืองไทย และหอบไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา จะไม่ให้เฉิ่มได้ไงก็ฉันดันซื้อชุดช้อนส้อมทองเหลืองสลักลายไทยสวยงามใส่กล่องไม้อย่างดีมาให้ทั้งสอง แต่เมื่อมาถึงวันแรกกลับพบว่าคนที่นี่เขายังใช้มือทานอาหารกันอยู่ ... แป่ว !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น