20 เมษายน 2554

14. หิมาลัยชุบชีวิต

     ฉันถือโอกาสตื่นสายหน่อยในวันที่จะเดินทางกลับบ้าน ค่อยๆ เก็บของที่เหลือยัดใส่กระเป๋า ต้องใช้คำว่ายัดจริงๆเพราะหลายวันที่ผ่านมาซื้อของไปซะมากมายเกือบจะใส่เข้าไปในกระเป๋าไม่หมดต้องอาศัยน้ำหนักตัวขึ้นไปนั่งทับให้ปิดได้
     เหมือนเช่นเคยกับทุกๆ วันที่ฉันไปนั่งดื่มกาแฟทานอาหารเช้าแถวร้านย่านทาเมล มีหลายร้านที่มีบรรยากาศดีคือมีพื้นที่บริเวณสวนให้นักท่องเที่ยวได้นั่งสบายๆ ทอดกายใจไปกับบรรยากาศสงบๆ อากาศเย็น กลิ่นธูปหอมที่กระจายไปทั่ว ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของประเทศนี้จริงๆ (นึกๆ แล้วกลิ่นยังติดอยู่ปลายจมูกเหมือนเพ่ิงไปมา) การบริการของชาวพื้นเมืองที่ใจดี รสชาติกาแฟต้มที่ค่อนข้างกล่มกล่อม แค่ได้นั่งนิ่งๆ ซักชั่วโมงก็สามารถสร้างความสุขได้มากมายแล้ว เพราะส่วนใหญ่เวลาดื่มกาแฟช่วงเช้าของฉันในชีวิตปกตินั้นก็ที่โต๊ะทำงานกับชีวิตอันแสนเร่งรีบ


     ฉันจัดการเช็คเอ้าท์และจ่ายเงินค่าโรงแรมซึ่งก็เพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าค่าห้องราคาเท่าไหร่ จูเกชจัดแจงจองห้องพร้อมกับต่อรองราคาให้เสร็จสรรพ ค่าห้องจาก 50 ดอลล่าห์ จึงเหลือเพียงแค่ 15 ดอลล่าห์ต่อวันสรุปว่ารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ช้อปปิ้ง กินอยู่ หมดไปไม่ถึง 30,000 บาทกับการเดินทางท่องเที่ยว 14 วันเต็ม โม้ให้เพื่อนๆ ฟังไปได้อีกนาน
     เมื่อใกล้เวลาออกเดินทางไปสนามบิน จูเกชก็มาถึงที่โรงแรมพร้อมกับรถที่ไปส่งฉันที่สนามบิน
     ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณเพื่อนยังไงดี ที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสเดินทางมาเจอแต่สิ่งดีๆ ทั้งๆ ที่เรารู้จักกันเพียงผิวเผินในครั้งแรก ก่อนที่จะเดินจากเขาเข้าไปยังด้านในของสนามบินฉันจึงกอดเขาหนึ่งทีเพื่อแสดงความขอบคุณและเพื่อจดจำช่วงเวลาดีๆ นี้ไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะได้กลับมาเจอกับเขาอีกครั้ง ใครจะไปรู้...ชาตินี้ฉันอาจไม่ได้พบเขาอีกก็ได้
     ความรู้สึกของฉันเมื่อตอนขามากับขากลับนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อตอนมานั้นฉันรู้สึกตื่นเต้น วิตกกังวลนิดๆ สับสน วุ่นวายใจ แต่เมื่อทริปนี้จบลงฉันเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ ในใจรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก เรื่องราวที่เคยกังวลอยู่ในหัวนั้นตอนนี้กลับปล่อยวางได้ เลิกคิดเรื่องอะไรไร้สาระ และพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำงานใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ ในชีวิต
     เนปาลเป็นประเทศที่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มา เหมือนกับไปบ้านเพื่อนที่สนิทและจริงใจต่อกัน ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะคิดอะไรไม่ดีกับเรา เพราะเขาพร้อมที่จะหวังดีต่อเรา ต้อนรับขับสู้ช่วยเหลือเราอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งของความรู้สึกที่ได้ซึ่งอาจจะอธิบายยากซักหน่อย แต่หากใครได้พบเองคงเข้าใจว่าฉันรู้สึกอย่างไร เนปาลทำให้ฉันเห็นโลกที่กว้างขึ้น เห็นสัจธรรมของชีวิต เป็นที่ๆ ทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางใหม่ ฉันคงไม่กล้าที่จะบอกว่าเป็นทิศทางที่ดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ เป็นทิศทางที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น 
     ในขณะที่จากประเทศนี้มาเป็นครั้งที่สองฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะได้กลับไปที่นั่น
อีกรึเปล่า ก็ได้แต่ตั้งใจว่าจะติดต่อกับเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อย่างสม่ำเสมอ เผื่อมีอะไรเราจะได้ช่วยเหลือกันได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น