08 เมษายน 2554

2. กลับสู่อ้อมกอด

     วันเดินทางมาถึง ท่ามกลางความเป็นห่วงเป็นใยของคนรอบข้างซึ่งฉันไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ความมั่นใจและมุ่งมั่นนั้นเต็มเปี่ยม
     เดินทางด้วยการบินไทยเช่นเดิม สายการบินที่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ บินแน่ถึงแน่ ค่าตั๋วในปี 2000 นั้น ยังไม่ถึง 15,000 บาทดี แต่รักแท้ย่อมมีอุปสรรคฉันใดการเดินทางไกลก็ย่อมต้องมีเรื่องขลุกขลักบ้างฉันนั้น ฉันขึ้นไปนั่งบนเครื่องรอเวลาออกด้วยหัวใจเต้นตูมตาม อยากให้เวลาสามชั่วโมงกว่าผ่านไปไวๆ เสียงฟ้าฟาดก็ได้ดังขึ้นมาขัดจังหวะอารมณ์เคลิบเคลิ้ม
     “ทางสายการบินต้องขออภัยท่านผู้โดยสารที่ให้รอ ขณะนี้เครื่องขัดข้องจึงยังขึ้นบินไม่ได้ ทางเราจะพยายามซ่อมเครื่องซึ่งจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง” เสียงกัปตันประกาศด้วยน้ำเสียงกังวล                  
     ครึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไปด้วยอาการกระสับกระส่ายของผู้โดยสารทั้งลำ
     “ขณะนี้เครื่องยังซ่อมไม่ได้ คงจะต้องรบกวนท่านผู้โดยสารให้ลงจากเครื่อง เพื่อที่ทางเราจะเปลี่ยนเครื่องใหม่” กัปตันประกาศอีกระลอก
     เออ เปลี่ยนก็เปลี่ยนดีเหมือนกัน ดันทุรังไปจะไม่ถึงเอา
     เราต้องลงไปนั่งรอด้านล่างของสนามบินอีกพักใหญ่ ทำให้ฉันเกิดความกังวล เพราะไม่สามารถส่งข่าวไปบอกจูเกชได้ เขาคงต้องมารอรับฉันพักใหญ่ทีเดียว
     ทางสายการบินแจกแซนวิชให้ผู้โดยสารได้รองท้องกันก่อน เดี๋ยวท้องร้องขึ้นมาจะเดือดร้อน แค่นี้ก็คงโดนโวยวายแย่แล้ว 
     เวลาล่วงเลยไปเกินบ่ายโมงกว่าเราจะได้ขึ้นไปบนเครื่องอีกครั้ง
     ฉันได้แต่หวังว่าคงไม่เกิดเหตุอะไรไม่ดีอีก ใจไปถึงเนปาลตั้งนานแล้ว
     การเดินทางผ่านไปด้วยดี นุ่มนวลดุจแพรไหมสมกับสโลแกน แอร์โฮสเตสสาวพูดคุยซักถามและดูแลฉันอย่างดีเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียว 
     ความรู้สึกเมื่อเครื่องบินลดระดับเพื่อลงจอดที่สนามบินไตรภูวัณนั้นไม่เคยไม่ตื่นเต้นซักครั้ง แต่คราวนี้เป็นความตื่นเต้นคนละแบบกับครั้งแรก ครั้งนั้นฉันรู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้ไปพบชายในฝัน แต่ครั้งที่สองนี้เหมือนได้พบกับความรักแบบที่อยู่ห่างไกลกันอีกครั้ง ทิวเขาหิมาลัยยืนเรียงแถวหนักแน่นโผล่ทะลุยอดเมฆทักทายฉันเป็นระยะๆ อีกไม่นานฉันจะได้ไปอยู่ใกล้ชิดในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง 
     เมื่อผ่านพิธีการต่างๆ เรียบร้อย ฉันรีบเดินออกไปด้านนอกสนามบิน ลมเย็นพัดต้อนรับฉันสู่เนปาล สายตาสาดส่ายหาจูเกชจากหมู่แขกมุงกลุ่มใหญ่ด้านนอก ฉันไม่เคยมีรูปเขาแต่ก็มั่นใจว่าจะจำหน้าเขาได้อย่างแม่นยำ ใครจะไปลืมเพื่อนแบบเขาได้ เพื่อนที่รู้จักกันเพราะการต่อรองราคาค่าที่พัก 
     นั่นไงเขาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ต่างเบียดเสียดแย่งกันเรียกนักท่องเที่ยว เขามองมาที่ฉันและทำหน้างงๆ เล็กน้อยก่อนที่จะเผยอยิ้มออกมา เขาปราดเข้ามาหาฉันก่อนที่จะทักเรื่องผมทรงใหม่ของฉัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นสามปีฉันไว้ผมยาวเกือบกลางหลัง แต่ ณ​ ปัจจุบันผมฉันสั้นกว่าของเขาซะอีก นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเกือบจะจำฉันไม่ได้
     ฉันทำการขอโทษขอโพยเขาเรื่องเครื่องดีเลย์ ซึ่งเขาก็เล่าว่าเขามารับแล้วรอบหนึ่งก่อนที่ทางสนามบินจะประกาศเรื่องความล่าช้า ทำให้ต้องกลับไปบ้านและกลับมาใหม่อีกหน
     เราขึ้นรถเพื่อที่จะไปยังโรงแรมที่จูเกชจองไว้ให้ ไม่รอช้าฉันถามไถ่เรื่องคู่รักของเขาว่ารู้จักกันได้ยังไงแล้วคบกันมานานรึยัง
     “อืมม์ การแต่งงานครั้งนี้เป็นการคลุมถุงชนน่ะครับ (arranged marriage) พ่อแม่ผมเป็นคนจัดการ” เขาตอบด้วยหน้าและน้ำเสียงน่ิงๆ
     “อ้าว ยังงั้นเหรอ ฉันไม่ยักรู้” ฉันงงๆ และเริ่มทำตัวไม่ถูก
     “ครับ ที่เนปาล เรื่องแต่งงานยังเป็นเรื่องของการจัดการโดยพ่อแม่ โดยต้องแต่งกับวรรณะที่เหมาะสมต้องพิจารณานามสกุล รวมไปถึงพื้นฐานครอบครัว” เขาอธิบาย
     “เอ แล้วยังงี้คุณได้เจอว่าที่เจ้าสาวรึยัง” ฉันถามต่อ
     “เจอครับ ผมคิดว่าไหนๆ ก็ต้องแต่งกันอยู่แล้วก็เลยไปทำความรู้จักสร้างความคุ้นเคยกันก่อน แต่ไม่ใช่ทุกคู่เป็นยังงี้หรอกนะ บางคู่เจอกันครั้งแรกก็งานหมั้นเลย” เขาอธิบายต่อ
     เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับฉัน แต่เป็นวัฒนธรรมของประเทศเขา คงไม่มีข้อโต้เถียงอะไรที่สมควรกล่าวแย้งขึ้นมา
     จูเกชพาฉันไปส่งยังโรงแรม “มานัง” (Manang) ซึ่งอยู่ในบริเวณทาเมล ย่านฮิตของนักท่องเที่ยว โรงแรมมานังเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว มีขนาดไม่ใหญ่และไม่สูงมาก ตั้งอยู่กระเถิบออกมาจากใจกลางทาเมล ทำให้ไม่พลุกพล่านและสงบพอสมควร 
                 

    ฉันมีเวลาช่วงบ่ายพักผ่อนและเดินเล่นแถวๆ นั้นพักหนึ่งให้หายคิดถึง ภาพบรรยากาศเก่าๆ เร่ิมกลับมาสู่ความทรงจำของฉันอีกครั้ง บ้านเรือนที่เกาะกลุ่มอยู่กันอย่างหนาแน่นในใจกลางเมืองโดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ ผู้คนต่างใช้ชีวิตในแบบเรียบง่าย กลิ่นเครื่องเทศกรุ่นอยู่ในอากาศอันหนาวเย็นช่วงเดือนมกราคม

    
     จูเกชกลับมาทานอาหารเย็นด้วยกัน มื้อแรกนี้เราทานอาหารพื้นเมืองกันที่ร้านอาหารภายในโรงแรมซึ่งรสชาติจัดว่าดีทีเดียวโดยเฉพาะโมโม่อาหารทานเล่นจานโปรดของฉัน มื้อนี้ฉันได้ทดลองดื่มไวน์ขาวแบบพื้นเมืองที่มีดีกรีสูงมากเพราะดื่มเข้าไปแก้วเล็กนิดเดียวทำเอาร่างกายอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างทันทีทันใด
     “พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณไปที่บ้านตอนเช้านะ น้องสาวผมจะหมั้นพอดี คุณจะได้ไปดูพิธี” หลังอาหารจูเกชเล่าแผนการสำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะจากไป
     คืนนั้นฉันนอนหลับอย่างสบาย ภายใต้อากาศที่หนาวเย็นและสมองที่ผ่อนคลาย หลังจากนี้ไปอีกสองอาทิตย์เต็มๆ ที่ฉันจะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ปราศจากเรื่องกังวลใดๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น